“BHS”ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย บุกเบิกธุรกิจฟื้นฟูครบวงจร

“BHS”ศูนย์ดูแลผู้สูงวัย บุกเบิกธุรกิจฟื้นฟูครบวงจร

พยาบาลชำนาญดูแลผู้สูงวัย ก้าวขึ้นเป็นนักธุรกิจด้วยทัศนคติไม่หยุดเรียนรู้ กระโดดตั้งศูนย์รองรับผู้สูงวัย ขยายบริการฟื้นฟูโรคหลอดเลือดสมอง บุกเบิกธุรกิจนี้จนเป็นเจ้าตลาดที่ภาครัฐยกให้เป็นเลิศ (Best Practice) กำลังเนื้อหอม ถูกยักษ์ธุรกิจรุมจีบร่วมทุน

หลังเรียนจบพยาบาลที่ชำนาญการด้านการดูแลผู้สูงวัย “นิตยา ชไนศวรรย์ พยาบาลวิชาชีพ ก็มุ่งเน้นในเส้นทางสายดูแลผู้สูงวัยเป็นหลัก ตั้งแต่เริ่มต้นเข้าไปอบรมผู้ช่วยพยาบาลให้กับโรงเรียนผลิตผู้ช่วยพยาบาล จนเปิดเป็นบริษัทอบรมผู้ช่วยพยาบาลเพื่อส่งไปดูแลผู้สูงวัยที่นอนป่วยหรือนอนติดเตียง ตามบ้าน

นิตยา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เฮลท์แคร์เซอร์วิส เห็นช่องว่างทางการตลาดจุดพลิกของอุปสรรคของการส่งผู้ช่วยพยาบาลตามบ้านมากมาย ที่ผู้ช่วยพยาบาลไม่มีศักยภาพการดูผู้ป่วยในกรณีที่ซับซ้อน โรคเรื้อรังได้ จึงพบความเสี่ยงและปัญหาจุกจิกตามมา การตั้งศูนย์ดูแลจึงเป็นคำตอบของการดูแลผู้สูงวัยได้ใกล้ชิด กับมาตรฐานการดูแลได้ดีกว่าส่งไปอยู่ตามบ้านตลอด24 ชั่วโมง

“ตั้งบริษัทอบรมผู้ช่วยพยาบาล ส่งไปดูแลตามบ้านที่มีความต้องการมาก แต่ทำมา 5 ปีจึงเห็นว่ามีปัญหาจุกจิกตามมา เฉพาะกรณีเจาะคอ มีสายน้ำเกลือ หากสายหลุดไม่สามารถใส่เองได้ นอกจากพยาบาลวิชาชีพ และเด็กบางคนไปอยู่ 24 ชั่วโมง อยากกลับบ้านไม่มีคนมาเปลี่ยนก็หนีกลับ จึงเปิดศูนย์การดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ให้ได้มาตรฐาน” เธอเล่าถึงจุดเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ

โดยธุรกิจใหม่คือ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เอเชียเนอร์สซิ่งโฮม (Asia Nursing home) ก่อตั้งเป็นศูนย์ดูแลผู้สูงอายุเป็นเจ้าแรกที่พัฒนามาตรฐานขึ้นเอง เพราะ 10 ปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้กำหนดมาตรฐานและใบอนุญาตก่อตั้งชัดเจน ปัจจุบันมี 4 ศูนย์ รองรับผู้สูงวัย ตั้งแต่ 30-50 เตียง ในกรุงเทพฯ 3 แห่งและนนทบุรี อีก 1 แห่ง

ศูนย์ฯแห่งนี้มีความต้องการรองรับจนมีผู้เข้ามาพักในศูนย์ 90% จึงมีแผนที่จะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทุกเขตในกรุงเทพฯ ที่มีกว่า 50 เขต และขยายไปต่างหวัดให้ครบทั้ง 77 จังหวัด ภายใน 5 -10 ปี ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วและการหาพันธมิตร โดยการขยายธุรกิจวางไว้ 3 โมเดลคือ ลงทุนเอง หาผู้ร่วมทุนในพื้นที่ (Local Partner) และการพัฒนาเป็นแฟรนไชส์

แผนการขยายธุรกิจดังกล่าวสอดคล้องกับเทรนด์ผู้สูงวัยในไทยที่จะเพิ่มขึ้นสัดส่วนถึง 20% ของจำนวนประชากรภายในไม่กี่ปีข้างหน้าจากปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 10% ของจำนวนประชากร ซึ่งกลุ่มผู้สูงวัยถูกแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ กลุ่มสีเขียว แข็งแรง สุขภาพดี ต้องการสังคม สัดส่วน 20-25% กลุ่มสีเขียว เจ็บป่วย ใช้รถเข็น ต้องการการดูแล สัดส่วน มากกว่า 20-25% และกลุ่มสีเหลือง นอนติดเตียง ป่วยเรื้อรัง สัดส่วน 50% กลุ่มธุรกิจเนอร์สซิ่งโฮมจับกลุ่มผู้ป่วยสีหลือง ที่นอนติดเตียงที่จะต้องได้รับการดูแลยาวนาน

“สังคมผู้สูงวัยของไทยไม่แข็งแรงเหมือนในญี่ปุ่น จึงต้องการศูนย์ดูแล เพราะมีไลฟ์สไตล์ชีวิตและอาหารการกิน ทำให้ป่วย” เธอเล่าของความจำเป็นในการตั้งศูนย์ดูแล

หลังจากมีประสบการณ์ในผู้ป่วยกลุ่มนอนติดเตียง ป่วยเรื้อรังมายาวนานกว่า 12 ปี ใน 2 ปีที่ผ่านมาจึงค้นพบว่าตลาดที่ต้องการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยใช้วิชาชีพเฉพาะเข้าไปฟื้นฟู คือผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ที่ในจำนวนผู้ป่วยที่เข้ามารับการดูแลเป็นผู้ป่วยโรคนี้ถึง 70-80%

ที่สำคัญผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มขึ้นใหม่ทุกปีอัตราเฉลี่ยปีละ 1.5-2 แสนคน ตามหลักการทางการแพทย์ค้นพบว่า ในช่วง 3-6 เดือน ถือว่าเป็นช่วงต้องรีบเร่งเพราะมีโอกาสฟื้นฟูให้ร่างกาย (Golden Period) จึงเป็นเหตุผลของการขยายธุรกิจใหม่ ลงทุนหลัก 10 ล้านบาท ตั้งศูนย์ฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (BRC-Bangkok Rehabilitation Center)

โดยศูนย์ BRC ได้รวบรวมองค์ความรู้สำหรับฟื้นฟูผู้ป่วยทางด้านนี้เฉพาะที่ประกอบด้วย พยาบาล และนักกายภาพบำบัด นักฟื้นฟู หมอ รวมถึงจิตแพทย์ รองรับผู้ป่วยค้างคืนต่อเนื่อง 80 เตียง และผู้ป่วยนอก 30 คนต่อวัน

“ผู้ป่วยบางคนเป็นโรคหลอดเลือดในสมองต้องนอนติดเตียงเพราะไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ซึ่งถือว่าศูนย์ด้านโรคหลอดเลือดสมองเอกชนแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดนอกเหนือจากศูนย์ในโรงพยาบาล และในคลินิกฟื้นฟูที่เฉพาะด้าน หลังจากเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 พบว่าอัตราที่กลับไปใช้ชีวิตได้ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วย”

ค่าใช้จ่ายในศูนย์นี้ถือว่าราคาค่อนข้างสูง แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าก็ยอมจ่ายเพื่อแลกกับการบริการและมีความหวัง รวมถึงมีกำลังทรัพย์ หากเทียบกับเนอร์สซิ่งโฮมราคาแตกต่างกัน 3 เท่า ค่าบริการอยู่ที่ 5-8หมื่นบาทต่อเดือน ขณะที่เนอร์สซิ่งโฮมอยู่ที่ 18,000 บาทต่อเดือน

“ลูกค้าคนละกลุ่มกัน โดยเนอร์สซิ่งโฮมถือเป็นการประคับประครองดูแลระยะยาว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขณะที่ศูนย์BRC เป็นศูนย์ที่ญาติและผู้ป่วยมีความหวังว่าคนไข้จะกลับมาฟื้นตัวหากได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ "

หลังจากปักธงทำธุรกิจด้านนานมากว่านานกว่า 19 ปี ทำให้ได้รับการยอมรับในวงการ ทำความตกลงกับหน่วยงานภาครัฐจากโรงพยาบาลด้านโรคประสาท 3 ศูนย์เพื่อส่งต่อผู้ป่วย รวมถึงการได้รับรางวัลด้านมาตรฐานการดูแลในหลากหลายด้าน (Best Practice) ที่กวาดรางวัลทุกปี อาทิ รางวัล DBD Wellness Service Awards Best Practice) ธุรกิจผู้สูงอายุปี 2017 และรางวัลมาตรฐานสถานบริการดูแลผู้สูงอายุดีเด่น ปี 2017 จากกรมผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์

ชื่อเสียงที่เกิดขึ้นจึงทำให้เป็นแหล่งดูงานของคู่แข่งในวงการที่เธอ ยอมถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างไม่ปิดบัง เพราะเชื่อว่าเป็นการช่วยกันพัฒนาตลาด 

ทว่า สิ่งที่ได้มาพร้อมกับชื่อเสียงที่พูดกันในวงการคือ พันธมิตรธุรกิจรายใหญ่ที่เข้ามาชักชวนร่วมทุนเพื่อบุกธุรกิจรองรับสังคมผู้สูงวัย อาทิ ซีที เอเชีย โรโบติกส์ จำกัด ร่วมกันออกแบบโปรแกรมหุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ เป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรองรับการดูผู้สูงวัยในอนาคต

ตลอดจน เอสซีจี ที่ทำความตกลงร่วมกัน นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่เอสซีจีคิดค้นมาติดตั้งในศูนย์ดูแล ที่จะเป็นโอกาสของการร่วมทุกกันพัฒนาธุรกิจบริการในอนาคต และกำลังจะร่วมทุนกับบริษัทแห่งหนึ่งที่รุกเข้าไปดูแลตลาดผู้สูงวัยสีเขียว เป็นการบริการเดย์แคร์ บริการไปเช้าเย็นกลับ เพื่อรองรับผู้สูงวัยที่แข็งแรง และต้องการนอนที่บ้าน เพียงเสริมกิจกรรมระหว่างวันและการดูแลฟื้นฟู เพื่อเพิ่มทักษะ ในช่วงที่ลูกออกไปทำงานนอกบ้าน

“ผู้เล่นหน้าใหม่แข่งได้ยากแม้จะมีเงินทุน หากทุ่มทุนซื้อคนก็เริ่มต้นด้วยต้นทุนที่สูงกว่า จุดแข็งอยู่ตรงที่ความรู้ คนและประสบการณ์ที่สั่งสมจนเกิดความน่าเชื่อถือในวงการ”

แม้ว่านิตยาจะจบพยาบาลแต่ก็เข้ามาเป็นนักบริหารธุรกิจเต็มตัว ปัจจุบันเดินสายเป็นวิทยากรให้ความรู้ คุยกับคนในวงการ ในธุรกิจและข้ามสายธุรกิจเพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ๆ และพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา จึงทำให้ธุรกิจปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงจนเป็นผู้นำในตลาด

-------------------------------

สูตรรบบุกตลาดผู้สูงวัย

-ประสบการณ์ดูแลคือจุดแข็ง

-ศึกษาความต้องการจากบริการ

-ดึงคนมีทักษะการดูแลผู้สูงวัย

-เปิดรับเรียนรู้สิ่งใหม่

-หาพันธมิตรขยาย