'5 หุ้นเด่น' ต้องเก็บ 3 เดือนแรก เทน้ำหนักธุรกิจในบ้าน

'5 หุ้นเด่น' ต้องเก็บ 3 เดือนแรก เทน้ำหนักธุรกิจในบ้าน

'สมบัติ นราวุฒิชัย' แห่ง สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดรายชื่อ '5 หุ้นเด่น' น่าเก็บเข้าพอร์ตในช่วง 3 เดือนแรกปี 2562 เน้นเทน้ำหนักบริษัทเติบโตจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่และบริโภคภายในประเทศ

3 เดือนแรกปี 2562 ส่อแววเลื่อนการเลือกตั้ง !! จากกำหนดเดิมช่วงเดือนก.พ. 2562 ถ้าเป็นเช่นนั้นภาวะ 'ตลาดหุ้นไทย' ยังไม่กระทบ โดยประเมินดัชนี SET INDEX ณ ไตรมาส 1 ปี 2562 อยู่ที่ระดับ 1,682 จุด แต่หากเลื่อนการเลือกตั้งนานเกินกว่า 150 วัน (3 เดือน) เราคงต้องเร่งสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนกันใหม่ 

'สมบัติ นราวุฒิชัย' เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เผยผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุน ว่า ช่วงไตรมาสแรกปี 2562 มีมุมมองต่อดัชนี SET INDEX เชิงบวกสัดส่วน 55.56% โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นไทยระยะสั้น นั่นคือ 'การเลือกตั้ง' ของเมืองไทย  

'ไตรมาส 1 ปัจจัยการเลือกตั้งมีอิทธิพลสูงสุดในการตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นของสถาบันและรายย่อยในประเทศ'

ทว่า หากมีการเลื่อนกำหนดการเลือกตั้งออกไปนั้น 'สมบัติ' บอกว่า การเลือกตั้งหากเลื่อนออกไปประมาณ 1-3 เดือน หรือไม่เกิน 9 พ.ค.2562  มองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาเพียงเล็กน้อย แต่หากว่าเลื่อนหลายเดือนหรือเกินเดือนพ.ค. จะส่งผลให้นักวิเคราะห์ต้องปรับมุมมองประมาณการณ์ใหม่ทั้งหมดจากผลกระทบที่เกิดขึ้นทันที 

ฉะนั้นในช่วงไตรมาสแรกคงไม่มีเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงไปกว่านี้ เพียงแต่เราต้องมานั่งลุ้นว่า ทุกอย่างจะกลับมา 'เหมือนเดิม' หรือ 'ฟื้นตัวดีขึ้น'

'กูรูตลาดหุ้น' แนะนำ '5 หุ้นเด่น' ว่า ในช่วงไตรมาสแรกปี 2562 นักลงทุนควรให้น้ำหนักในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตตามเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจคของรัฐและการอุปโภคบริโภคในบ้าน หรือบริษัทที่มีฐานการทำ 'กำไรสุทธิ' อยู่ในเมืองไทย 

อาทิเช่น 'หุ้น ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL' โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ แนวโน้ม NIM สูงจากอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ขาขึ้น ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อยังเติบโตจากวงจรการลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน และได้ประโยชน์จากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่อนุมัติออกมาอย่างต่อเนื่อง 

'หุ้น ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BEM' โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ โอกาสการต่ออายุสัมปทานทางด่วนขั้นที่สองออกไปถึงปี 2600 อ้างอิงตามมติล่าสุดของ 'การทางพิเศษแห่งประเทศไทย' (กทพ.) และยังไม่รวมแนวโน้มเป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หลังกิจการร่วมค้าภายใต้การนำกลุ่ม CP (ซึ่ง BEM ร่วมถือหุ้น) มีโอกาสเป็นผู้ชนะการประมูลดังกล่าว 

'หุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL' โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ รายได้ที่มีศักยภาพการเติบโตจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น และการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ตามทิศทางการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และเฉพาะตอนนี้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ All Café ที่มีมาร์จินระดับสูง 

'หุ้น ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC' โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ แนวโน้มผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรสุทธิ เข้าสู่ขาขึ้น สะท้อนผ่านมูลค่างานในมือ (แบ็กล็อก) 1.2 แสนล้านบาท ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท ซึ่งเพียงพอทยอยรับรู้ได้อย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า และยังมีงานประมูลใหม่และมีโอกาสได้งานใหม่ๆ เติมแบ็กล็อกเพิ่มอีกด้วย 

และสุดท้าย 'หุ้น ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA' โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ จากประเด็นการเดินหน้า 'เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก' (EEC) ทำให้มูลค่าที่ดินมีกว่า 'หมื่นไร่' ปรับสูงขึ้นในอนาคต รวมทั้งมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ อีกด้วย 

เขา บอกต่อว่า สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อราคาหุ้นไทย รองลงมาจากการเลือกตั้งคือ ประเด็นต่างประเทศ โดยเฉพาะ 'สงครามการค้า' (Trade War) ระหว่างสหรัฐฯ และ จีน รวมทั้งทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเลือกตั้งมองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อ 'นักลงทุนต่างชาติ' (Fund Flow) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินดังกล่าวไหลเข้ามา แต่ใน 6-7เดือนหลังที่ผ่านมากลับไม่ไหลเข้ามาเลย ซึ่งในปีที่ผ่านมา Fund Flow ไหลออกไป 'ประมาณ 2.9 แสนล้านบาท'

โดยหลังจากนี้ต้องจับตาว่าประเด็นเลือกตั้งจะส่งผลต่อ Fund Flow อย่างไรบ้าง จะเป็นบวกต่อการลงทุนหุ้นไทย ซึ่งคาดการณ์เรื่องการเลือกตั้งเกิดส่งผลให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาโดยตลอด ยิ่งเฉพาะในช่วงหาเสียงทุกพรรคการเมืองทั้งพรรคเดิมและพรรคใหม่จะมีแนวคิดเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตหลายโครงการที่น่าสนใจขึ้นมา ซึ่งแนวคิดของพรรคต่างๆที่ออกมาจะมีความหวังในทางบวก

ทั้งนี้ เมื่อมองภาพตลาดหุ้นไทยที่ยาวขึ้นถึงปลายปี 2562 คาดการณ์ 'จุดต่ำสุด' ของดัชนีราคาหุ้นไทย ระหว่างปีมีค่าเฉลี่ยต่ำสุดที่ 1,529 จุด และค่าเฉลี่ย 'จุดสูงสุด' อยู่ที่ 1,834 จุด

สำหรับปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในปี 2562 นั้น ประกอบด้วย ปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศ เช่น แนวโน้มการเลือกตั้งและเศรษฐกิจภายในประเทศเป็น 2 ปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสำรวจและมีการเทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็น 'ผลบวก' ขณะที่ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดทุนไทย ได้รับการโหวตมาเพียง 51.85% ซึ่งเป็นระดับประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจ

ขณะที่ ปัจจัยที่มีผลกระทบ 'เชิงลบ' ต่อตลาดหุ้นไทย ในระยะสั้น คือ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป เอเชีย รองลงมา คือปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ (FED) ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีเสียงโหวตมากกว่า 50% ขึ้นไป 

แต่ที่น่าสังเกตคือปัจจัยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศนั้น กลับมีมุมมองว่าไม่มีผลกระทบมากนักต่อทิศทางราคาหุ้นไทยในปีนี้ โดยมีผู้ตอบเพียง 11.11% ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และมีผู้ตอบอีก 40.74% ที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) 

โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% คิดเป็น 48.15% ของผู้ตอบแบบสำรวจ และรองลงมา คือ คาดว่าปรับขึ้น 0.50% คิดเป็น 33.33% ของผู้ตอบแบบสำรวจ และคาดว่าไม่ปรับขึ้นในปีนี้ 14.18% ตามลำดับ 

ท้ายสุด 'สมบัติ' ทิ้งท้ายไว้ว่า เรามองกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 115.12 บาท ซึ่งสิ้นปีคาดอัตราการเติบโตของ EPS เฉลี่ยอยู่ที่ 7.35% ซึ่งถือว่ายังเป็นระดับที่ดี 

กระจายความเสี่ยงสู่ 'ทองคำ'  

'สมบัติ นราวุฒิชัย' มีมุมมองส่วนตัวต่อราคา 'ทองคำ' ว่า ทองคำเป็น 'สินทรัพย์ปลอดภัย' ที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในภาวะความกังวลใจ (แพลนนิก) จะเข้าสู่ภาวะถดถอย หากย้อนกลับไปดูตามสถิติทองคำจะถูกหมางเมินมานานกว่า 5 ปีแล้ว ทว่าตั้งแต่ปลายปี 2561 พบว่านักลงทุนเริ่มมีความกังวลเศรษฐกิจอาจจะมีปัญหา บ่งชี้ผ่านจะเห็นราคาทองคำเริ่มมีการผงกหัวเป็น 'ขาขึ้น' บ้างแล้ว 

'ผมเชื่อว่าหากราคาทองคำกลับมาจะขึ้นในระยะยาว จากสถิติที่ผ่านมาราคาทองคำขาขึ้นจะยาว 5-10 ปี ฉะนั้น หากนักลงทุนคนไหนต้องการกระจายความเสี่ยงในตลาดหุ้น ลองแบ่งการลงทุนเข้าไปในทองคำไว้บ้าง'  

สอดคล้องกับ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ที่มีมุมมองว่า การร่วงลงของตลาดหุ้นในหลายประเทศส่งผล 'เชิงบวก' ต่อราคาทองคำ รวมทั้ง UBS ซึ่งเป็นสถาบันการเงินรายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันจากการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ผลประกอบการซบเซา ประกอบกับปัญหาทางการเมือง โดย UBS คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจนเติบโตเพียง 3.6% ในปีนี้ ลดลงจากปี 2561 ที่เพิ่งผ่านมาซึ่งขยายตัว 3.8% 

โดยแนวโน้มดังกล่าวสร้างแรงซื้อเข้าสู่ตลาดทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย นอกจากนี้การประชุมระหว่างเหล่าผู้นำสภาคองเกรสสหรัฐและประธานาธิบดี 'โดนัลด์ ทรัมป์' ของสหรัฐ ยังไม่ได้ข้อยุติในการแก้ไขปัญหาที่หน่วยงานรัฐบาลถูกปิดทำการ (ชัตดาวน์) 

อย่างไรก็ตาม 'มิตช์ แมคคอนเนลล์' ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ ประเมินว่า สถานการณ์ชัตดาวน์อาจยืดเยื้อต่อไปอีกหลายวันหรือหลายสัปดาห์ เนื่องจากสภาคองเกรสและทรัมป์ มีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอยู่ ซึ่งช่วยดันให้ราคาทองคำค่อยๆ ขยับขึ้น 

แม้ว่าสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้วางแผนที่จะยุติภาวะชัตดาวน์ ด้วยการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว โดยไม่รวมงบในการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงิน 5 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายกังวลว่า ร่างกฎหมายงบประมาณฉบับนี้อาจจะไม่ผ่านการรับรองของวุฒิสภา

'ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มเป็นบวกหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,277 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ มีโอกาสที่ราคาจะขึ้นทดสอบแนวต้านด้านบนโซน 1,296 ดอลลาร์ต่อไป'