“กูรู & เซียน”ส่อง SET INDEX ลุ้น“6ปัจจัย”ปลดล็อกหุ้นไปต่อ

“กูรู & เซียน”ส่อง SET INDEX ลุ้น“6ปัจจัย”ปลดล็อกหุ้นไปต่อ

เปิดมุมมอง “กูรู & ขาใหญ่” วิพากษ์หุ้นไทยปี 2562 ฟื้นตัว 6 ปัจจัยบวกเปลี่ยนทิศทาง SET INDEX เป็น “ขาขึ้น” แม้ปัจจัยนอกบ้าน “ปั่นป่วน” แต่ยังไม่ถึงขั้นไร้มนต์เสน่ห์ แนะธีมลงทุน จับหุ้นพื้นฐานดี-ราคาถูก...!!!

เริ่มต้นปี 2561 ด้วยดัชนี SET INDEX ขึ้นต่อเนื่อง ก่อนจะทำ จุดสูงสุดของปีที่ระดับ 1,838.96 จุด (24 ม.ค.) ครั้งแรกในประวัติการณ์ นับตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยก่อตั้งมาในปี 2518 หรือ ในรอบ 43 ปี !! ก่อนที่นักลงทุนต่างชาติจะสลัดหุ้นไทยปีนี้ทิ้งกว่า “2.8 แสนล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยส่อแววอาการน่าเป็นห่วงหนักขึ้น ในช่วง มิ.ย. หลังมีประเด็น สงครามการค้า” (Trade War) ระหว่าง 2 มหาอำนาจเศรษฐกิจโลก จีน–สหรัฐ ด้วยการสร้างสถิติ ต่ำสุด” ระดับ 1,629.26 จุด (21 มิ.ย.) ก่อนจะ ทุบสถิติต่ำสุด อีกครั้ง ที่ระดับ 1,548.99 จุด (26 ธ.ค.) เป็นการทำสถิติต่ำสุดรอบ 1 ปี 7 เดือน นับตั้งแต่ พ.ค. 2560”

สะท้อนผ่าน ผลตอบแทน ปี 2561 ตลาดหุ้นทั่วโลกตกอยู่ในภาวะ “ติดลบ” ทุกตลาด โดยตลาดหุ้นไทย ติดลบ 11.24%” (25 ธ.ค.) แต่ยังเป็นติดลบที่น้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย ติดลบ 16.7% 

ส่วนในอาเซียน เช่น สิงคโปร์ ติดลบ 12.6% , อินโดนีเซีย ติดลบ11.8% , ฟิลิปปินส์ ติดลบ 17.4% หรือตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในเอเชีย เช่น จีน ติดลบ 26.1% , เกาหลี  ติดลบ 21.1% , ฮ่องกง ติดลบ 13.9% และไต้หวัน ติดลบ 12.3% สะท้อนว่าตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานแข็งแรง  ตลาดผันผวนเกิดจากปัจจัยภายนอก ซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วภูมิภาค

ช่วงที่ตลาดหุ้นลงแรงต่อเนื่อง ผู้ที่เกี่ยวข้องเดินสายเรียก ขวัญและกำลังใจ” เม่าน้อย-ใหญ่ ต่อเนื่อง ไล่มาตั้งแต่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า มองตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาด Safe Heaven (การลงทุนปลอดภัย) เมื่อเทียบกับตลาดทั้งหมด “ตอนนี้ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงต้องมาเตรียมตัวของเรา จะไปหวังพึ่งพาการส่งออกเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้” 

ขณะที่ “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับตัวลดลงไปในทิศทางของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก จากความกังวลของผู้ลงทุนในเรื่องความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นำไปสู่ความกังวลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก (GDP โลก)

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงสิ้นปี 2560 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยถือว่าปรับตัวลดลงน้อยกว่าตลาดส่วนใหญ่ในทั่วเอเชีย ประเมินจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ประกอบกับผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2561 ของกลุ่มธนาคารเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดการณ์ตัวเลข GDP ไทยปีนี้จะขยายตัว 4.2% และปีหน้า 4.0%

ฟากนักวิเคราะห์แทบทุกสำนักต่างดาหน้ากันมาขยับเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2562  เพิ่มขึ้น !! โดยต่างมองว่า ปี 2562 ดัชนีหุ้นไทยจะทะยานขึ้นมาทุบสถิติสร้างประวัติศาสตร์ จุดสูงสุด ครั้งใหม่ หลังความกังวล (Panic) จางหายไป... 

บางสำนักระบุว่าจะไปถึง 1,800 จุด เรื่อยขึ้นไปถึง 1,900 และ 2,000 จุด !!

สอดคล้องกับ ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง (BLS) วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยปี 2562 ให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า ประเด็นที่มองเป็น ความเสี่ยง ของ SET INDEX อาจจะเข้ามา ปลดล็อค” (Unlocker)ด้วย 6 ปัจจัย ได้แก่ 

1.ประเด็นนโยบายธนาคารกลางสหรัฐ” (FED) มีทิศทางหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น คาดว่าภายในครึ่งปีแรกของปี 2562 เนื่องจากความผันผวนของตลาดเงิน-ทุน จากเดิมที่คาดการณ์ FED จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง ถือว่าประเด็นดังกล่าวอาจเข้ามาเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นทั่วโลก

2.ประเด็นยุโรปหยุดการซื้อพันธบัตร (QE) มองว่าประเด็นนี้ไม่มีอะไร “เซอร์ไพรส์” ตลาดมาก เพราะยังไม่เห็นอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ให้เป้าหมายออกมา

3.ประเด็นองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) หลังมีการประชุมของกลุ่ม OPEC บวกรัสเซียมีข้อสรุปลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบเชิงบวก (Impact) ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป มองว่าน่าจะทำให้ภาพรวมของราคาน้ำมันดิบโลกหยุดปรับตัวลง และเห็นการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบโลก 

ตลาดหุ้นไทยหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมีถ่วงน้ำหนัก SET INDEX เยอะมาก มูลค่าสูงเกือบ 38% ของตลาด ฉะนั้น ถ้าหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีมี Impact ในเชิงที่เป็นข่าวดี และตัวเลขของราคาน้ำมันดิบหยุดร่วงลง และเห็นราคาน้ำมันฟื้นตัวก็จะเป็นผลดีมาที่ดัชนี SET Index ไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดหุ้นไทยมีความแตกต่าง เพราะว่าตั้งแต่กลางปีเราจะเห็นราคาน้ำมันร่วงมาตลอด” 

4.ประเด็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ในเรื่องการลงทุน-บริโภค สะท้อนผ่านมาตัวเลขที่ผ่านมาของประเทศจีน ลดต่ำ  เรื่อง ซึ่งถือเป็นจุดที่มองว่ารัฐบาลจีนไม่น่าจะปล่อยให้ตัวเลขเศรษฐกิจดังกล่าวไหลลงไปมากกว่าปกติแล้ว สังเกตง่ายๆ เรื่องของภาคการลงออกและการผลิต สินค้าอุตสาหกรรมของจีน อยู่ในระดับที่รัฐบาลไม่น่าจะปล่อยให้ลดต่ำไปมากกว่านี้แล้ว ทำให้เราคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน” 

5.ประเด็นการเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐ สำหรับประเด็นดังกล่าวถือเป็นเครื่องหมายคำถาม เพราะยังไม่สามารถคาดเดาผลการเจรจาจะออกมาในรูปแบบไหน จะเห็นสัญญาณแค่กระแสข่าวที่ออกมาว่า จีนเริ่มผ่อนปนในบ้างเรื่องที่สหรัฐร้องขอ เช่น เรื่องของภาษีนำเข้ารถยนต์ , การปลดล็อกในรายละเอียดมากขึ้นในบริษัทต่างชาติที่ลงทุนในจีน ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีที่จะโยงไปสู่เรื่องของการเจรจาที่อาจจะเป็นผลบวกในช่วงก.พ. 

6.ประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง ตามสถิติที่มีมาตลอดได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งข้อแรกที่จะทำคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวมาก

ขณะที่ ในช่วงเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณต่างชาติทยอยกลับมาซื้อหุ้นไทย ถือเป็นเดือนแรกที่เงินไหลเข้ามาซื้อ ซึ่งเป็นไปตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นไทยก็เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นของเอเชียที่ต่างชาติซื้อหุ้น เพียงแต่ว่าทั้งปียังติดลบ สาเหตุที่เงินต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นเอเชียเกิดจากนักลงทุนมองว่าสหรัฐจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย อาจจะเป็นในช่วงไตรมาส 1 ปี 2562 ฉะนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะไม่มีอัพไซด์เท่ากับตลาดเอเชีย ซึ่งพอมีประเด็นดังกล่าวเงินต่างชาติเริ่มหาตลาดที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่า จะสังเกตได้จากตลาดสหรัฐจะสวิงวันละ 1-2% แต่ตลาดเอเชียจะปรับตัวลงน้อยกว่า

หากเราสังเกตจะเริ่มเห็นเงินค่อยๆ ไหลเข้าตลาดเอเชีย ขณะที่ตลาดสหรัฐจะเริ่มเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง

ชัยพร” บอกด้วยว่า ในปีหน้าอีกประเด็นที่คาดหวังคือการที่สหรัฐ-จีน มีปัญหากันอาจจะทำให้เห็นเงินโยกย้าย ซัพพลายเชน” ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายจะได้รับผลบวกจากการโยกย้ายเงินลงทุน เช่น อาจจะเป็นบริษัทต่างชาติที่ลงทุนอยู่ในจีน จะต้องย้ายฐานการผลิตออกเพราะว่าเขากลัวเรื่องภาษี หากมองในระยะยาวถือว่าคุ้ม

ยกตัวอย่าง ในสมัยที่ญี่ปุ่นกับสหรัฐ มีปัญหากัน ก็เห็นการโยกย้ายฐานการผลิตมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นเป้าหมายปลายทางที่เงินลงทุนโยกย้ายมาปรับเปลี่ยนไลน์การผลิต หากดูจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าธุรกิจที่จะย้ายฐานการผลิตจะเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหาร หรือบริษัทสัญชาติจีนก็ตามอาจจะต้องย้ายออก

สำหรับการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2562 มอร์แกน สแตนเลย์ ธนาคารชั้นนำระดับโลกจากสหรัฐ ประเมิน ว่า จะขยายตัว 3.8% จากปีนี้ที่ 3.9% จากผลกระทบสงครามการค้า ซึ่งคาดว่าจะกระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ 0.19% จากคาดการณ์สหรัฐ จะปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนบางประเภท ไม่เกิน 25% และจีนจะปรับขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐไม่เกิน 15% ส่วนในกรณีที่สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีสินค้าจีนทุกประเภท ไม่เกิน 25% จะกระทบกับจีดีพีโลก ลดลง 0.49%

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดเกิด ความกังวล” ส่งผลทำให้นักลงทุนไม่เชื่อนักวิเคราะห์ ที่คาดการณ์เศรษฐกิจจะเติบโต แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจกำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2563

------------------------

บัวหลวงมองหุ้นไทยปีหน้า 1,817 จุด

“ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง บอกว่า มองเป้าดัชนี SET INDEX ปี 2562 อยู่ที่ 1,817 จุด บนคาดการณ์ P/E ที่ระดับ 15.8 เท่า และกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยที่เติบโต 7.2% หรือคิดเป็น 117.7 บาท/หุ้น เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ใน SET100 ยังคงเติบโตได้ดี

ปีหน้าตลาดหุ้นไทย เล่นยากมากกว่าปีนี้ เราคงพึ่งพิงกำไรจากราคาส่วนต่าง (Capital Gain) ยากมาก ดังนั้นนักลงทุนควรเลือกหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลรองรับ และมองว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก

สำหรับ กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นธีมของการลงทุนปี 2562 คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งกำไรเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคาร เริ่มเห็นกำไรดีขึ้น จากรับผลบวกจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างไรก็ตามก็คาดหวังการลงทุนภาคเอกชนไทยในโครงการต่อเนื่องจากภาครัฐ 

กลุ่มท่องเที่ยวก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ในปีหน้า จากตัวเลขเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา โดยรวมปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน

พร้อมกันนี้หุ้นที่น่าลงทุนแนะนำหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค ไฟแนนซ์ โดยคาดการณ์ว่ากำไรของกลุ่มดังกล่าวจะเติบโตมากกว่า 20% ในปีหน้า และหุ้นกลุ่มธนาคาร จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น , กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อีกทั้งแนะเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล และท่องเที่ยว เนื่องจากเชื่อว่าปีหน้าไม่ได้เป็นปีที่แย่กว่าปีนี้ และเชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลจะมาจากส่วนไหน จะยังให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ส่วนหุ้นที่ควร หลีกเลี่ยง การลงทุน อาทิ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมาตรการควบคุบคุณภาพสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธปท. ทำให้แบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่เติบโตลดลง อาจส่งผลต่อยอดซื้ออสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงตามไปด้วย และหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากเมื่อจบการเปิดประมูล โครงการต่างๆก็จะชะลอตัว

สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยของธปท. มองว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนและเศรษฐกิจมากนัก แม้ปีหน้าจะขึ้นอีก 0.25% เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำมาก และตลาดรับรู้ประเด็นดอกเบี้ยขาขึ้นไปแล้ว

"ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีหน้า มองว่ายังคงผันผวนอยู่ จากปัจจัยภายนอกประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะสงครามการค้าฯ ซึ่งเรามองว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในต้นปีหน้า อีกทั้งยังมีเรื่องของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง การดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งทำให้ภาพของตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกผันผวน แต่เชื่อว่าในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น"

-------------------

ขาใหญ่รีเทิร์น ติดลบ

โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง อดีตนายกสมาคม นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ วีไอ วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย ว่า ปี 2562 ดีกว่าปี 2561 เนื่องจากดัชนีมีการรับรู้ข่าวร้ายๆ ไปมากแล้ว แม้ว่าปีหน้าตัวเลขเศรษฐกิจจะคาดการณ์ต่ำกว่าปีนี้

โดยมองว่า ปัจจัยในประเทศน่าจะผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวบ้าง โดยมี 2 ปัจจัยที่น่าจะมาสนับสนุน ข้อแรก การเลือกตั้งน่าจะเป็นสตอรี่เข้ามาเป็นปัจจัยบวกได้บ้าง และสอง การอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้อง ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นตัวกดดันตลาดหุ้น โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน

มองการลงทุนระยะยาวดี ในภาวะตลาดหุ้นผันผวนหนัก โดยให้เลือกหุ้นเป็นรายตัว ให้ดูที่พื้นฐานความแข็งแกร่งของบริษัท เพราะว่าในการลงทุนระหว่างทางมีความไม่แน่นอน ฉะนั้น หากนักลงทุนไม่มีความรู้และจิตใจที่เข้มแข็งจะเห็นว่าบางคนไม่ได้ไปต่อเยอะ

สำหรับ ผลตอบแทน ปี 2562 พอร์ตหุ้น ติดลบ” โดยในส่วนของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (วีไอ) จะชอบตลาดหุ้นที่มีลักษณะขึ้นลงไม่หวือหวา โดยการลงทุนจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีอัตราการเติบโต

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ อนุรักษ์ พบว่า ในครึ่งปี 2561 มีหุ้นในพอร์ตหลากหลายตัว เช่น บมจ. เอเชียน มารีน เซอร์วิสส์ หรือ ASIMAR จำนวน 1,552,700 หุ้น คิดเป็น 0.60% บมจ. ซีเค พาวเวอร์ หรือ CKP จำนวน 41,608,600 หุ้น คิดเป็น 0.56% บมจ. เดนทัล คอร์ปอเรชั่น หรือ D จำนวน1,510,000 คิดเป็น 0.76% บมจ. ฟินันซ่า หรือ FNS จำนวน 1,293,300 หุ้น คิดเป็น 0.52% บมจ. โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น หรือ FOCUS จำนวน 5,090,000 หุ้น คิดเป็น 2.68%

บมจ. ฮั้วฟง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) หรือ HFT จำนวน 3,676,000 หุ้น คิดเป็น 0.56% บมจ. วันทูวัน คอนแทคส์ หรือ OTO จำนวน 2,276,900 หุ้น คิดเป็น 0.81% บมจ. ควอลลีเทค หรือ QLT จำนวน 1,050,000 หุ้น คิดเป็น 1.07% บมจ. สยามอีสต์ โซลูชั่น หรือ SE จำนวน 1,334,000 หุ้น คิดเป็น 0.56% บมจ. ซีฟโก้ หรือ SEAFCO จำนวน 1,544,700 หุ้น คิดเป็น 0.51% บมจ. ที.เค.เอส. เทคโนโลยี หรือ TKS จำนวน 1,975,000 หุ้น คิดเป็น 0.55% 

เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” นักลงทุนด้านเทคนิคเจ้าของพอร์ต “หลักพันล้าน”  ประเมินตลาดหุ้นไทยปี 2561 ว่า ผลตอบแทน ติดลบ หลังตลาดหุ้นมีความผันผวนมาก โดยมองการลงทุนปีนี้ เล่นยาก ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคบอกให้ ขาย อีกด้วย

ปีหน้ายังมองตลาดหุ้นไม่ออกว่าจะขึ้นหรือลงต่อ แต่เชื่อว่าปัจจัยบวกในประเทศน่าจะเข้ามาช่วยให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัว โดยเฉพาะเรื่องการเลือกตั้ง

จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ วัชระ พบว่า ในปี 2561 มีหุ้นในพอร์ตหลากหลายตัว เช่น บมจ. แกรททิทูด อินฟินิท หรือ GIFT จำนวน 5,800,000 หุ้น คิดเป็น 1.41% บมจ. พลาสติค และหีบห่อไทย หรือ TPAC จำนวน 1,400,000 หุ้น คิดเป็น 0.55%