การท่าเรือฯ ประเมิน 14 ม.ค.นี้ เอกชนชิงบริหารแหลมฉบังเฟส 3 คึกคักกว่า 5 กลุ่ม หลังรายใหญ่โลจิสติกส์ระดับโลกแห่ซื้อซอง 32 ราย ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ ดูไบและทุนไทย ชี้ใช้เวลา 1 เดือนเคาะข้อเสนอ พร้อมชง ครม.เห็นชอบ ลงนามสัญญาภายใน มี.ค. 2562
ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง รักษาการแทน ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 โดยระบุว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนให้เอกชนที่ซื้อซองเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) ทำการศึกษารายละเอียด และรวมกลุ่มกันเพื่อเข้ามาประมูลโครงการ ซึ่ง กทท.มีกำหนดเปิดรับซองข้อเสนอราคาในวันที่ 14 ม.ค.2562 เบื้องต้นคาดว่าจะมีเอกชนยื่นซองประมูลมากกว่า 5 กลุ่ม
“เอกชนที่ซื้อซองทีโออาร์ไปทั้ง 32 ราย จะไปจับกลุ่มกันมาอย่างไรก็ได้ แล้วแต่โอกาสทางธุรกิจ แต่ตอนนี้ก็เหลือเวลาน้อยแล้ว หากยังไม่เริ่มจับกลุ่มกัน ก็อยากให้รีบตัดสินใจ แต่หากดูจากศักยภาพของเอกชนที่เข้ามาซื้อซอง เบื้องต้นก็ประเมินว่าน่าจะมีรวมกลุ่มกันมากกว่า 5 กลุ่ม เพราะเจ้าใหญ่ระดับโลกก็มีมาหมดทั้งจากดูไบ ฮ่องกง สิงคโปร์ และยังมีทุนไทยอย่างซีพี”
ห้ามเปลี่ยนพันธมิตรใน10ปี
ทั้งนี้ เงื่อนไขในทีโออาร์ของการรวมกลุ่มกิจการร่วมค้าเพื่อประมูลโครงการบริหารท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 กำหนดว่าเอกชนที่จะรวมกลุ่มกันมาประมูลห้ามปรับเปลี่ยนตัวพันธมิตรภายใน 10 ปี แต่ยังเปลี่ยนสัดส่วนการร่วมทุนได้ โดยเฉพาะพันธมิตรแกนหลักที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารท่าเรือต้องมีประสบการณ์บริหารท่าเรือไม่ต่ำกว่า 10 ปี และจะต้องมีสัญญาที่มีปริมาณตู้สินค้าอย่างน้อย 1 ล้านทีอียูต่อปี ตลอดระยะเวลา 3 ปีล่าสุด ถือเป็นแกนหลักที่ห้ามปรับเปลี่ยน เพราะโครงการนี้เป็นการบริหารท่าเรือ ดังนั้นต้องมีแผนบริหารและนโยบายที่ชัดเจน
สำหรับกรอบระยะเวลาดำเนินงาน กทท.ประเมินว่า หลังเปิดรับซองเอกสารข้อเสนอในวันที่ 14 ม.ค.2562 จะเริ่มต้นเปิดซองเอกสารตั้งแต่เวลา 15.01 น.ของวันเดียวกัน และใช้เวลาพิจารณาซองที่ 1 เอกสารเปิดผนึก หรือซองเอกสารหลักฐานการยื่นข้อเสนอ 1-2 วัน จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนพิจารณารายละเอียดในซอง 2 ซองคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอ รวมทั้งเปิดซอง 3 ข้อเสนอทางเทคนิคและแผนการลงทุนและเปิดซอง 4 ข้อเสนอด้านผลประโยชน์ตอบแทน
ร.ต.ต.มนตรี กล่าวว่า การเปิดซองเอกสารจะพิจารณาให้เสร็จภายใน 1 เดือน หรือราววันที่ 14 ก.พ.2562 ก็จะรู้ผู้ชนะการประมูลโครงการดังกล่าวแล้ว กทท.จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา ซึ่งทำให้ขณะนี้ยังกำหนดกรอบลงนามสัญญาไว้ในต้นเดือน มี.ค. 2562 และเริ่มก่อสร้างโครงการในเดือน พ.ค. 2562
ส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาในส่วนของซอง 1 กทท.จะประเมินตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเท่านั้น ทำให้การพิจารณาเอกสารซองดังกล่าวจะมีเพียงผู้ผ่านการพิจารณาและไม่ผ่านการพิจารณา ส่วนหลักเกณฑ์ซอง 2 จะพิจารณาถึงคุณสมบัติทั่วไปของผู้ยื่นประมูล โดยมีข้อกำหนด เช่น ต้องมีบริษัทไทย 1 ราย ถือหุ้นในสัดส่วนเกินกว่า 25% และต้องมีผู้ถือหุ้นที่คนไทยรวมกันเกินกว่า 51% ต้องมีประสบการณ์บริหารจัดการท่าเทียบเรือตู้สินค้าระหว่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 10 ปี
ชิงดำในการเปิดซอง 3
ขณะที่หลักเกณฑ์พิจารณาซอง 3 จะประเมินแบบมีให้คะแนน มีคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจะแบ่งออกเป็น 7 หมวดหมู่ คือ 1. แนวคิดการสร้างท่าเรือเรือ 2.แผนงานการก่อสร้าง 3.แบบจำลองประมาณการตู้สินค้ารายปีตลอดระยะเวลาของโครงการ และคาดการณ์รายได้จากตู้สินค้า และประมาณการรายรับทั้งหมดตลอดระยะเวลาของโครงการ พร้อมทั้งสมมติฐานที่ใช้ 4.แนวทาง วิธีการดำเนินงาน และแผนธุรกิจด้านการเพิ่มปริมาณตู้สินค้า
5.แนวทางและวิธีการดำเนินงานในการจัดการเคลื่อนย้ายสินค้าภายในท่าเรือ 6.โครงสร้างองค์กร และความสามารถของบุคลาการในการบริหารงาน รวมทั้งแผนการต่างๆ ด้านการถ่ายทอดความรู้ทางเทคโนโลยี และกิจกรรมการฝึกอบรม และ 7. แผนระดมทุน แหล่งที่มาและต้นทุนทางการเงิน การคาดการณ์กระแสเงินสด สมมติฐานและผลตอบแทนทางการเงิน
โดยผู้ยื่นข้อเสนอที่จะผ่านเกณฑ์การประเมินในซอง 3 จะต้องมีคะแนนในแต่ละหมวดหมู่ทั้ง 7 หมวดหมู่ จะต้องได้อย่างน้อย 70% และ คะแนนรวมของทุกหมวดหมู่รวมกันจะต้องได้อย่างน้อย 80% หรือ 80 คะแนน จากคะแนนรวมทั้งหมด 100 คะแนน
ขณะที่เกณฑ์การประเมินในซอง 4 ผู้ที่ยื่นข้อเสนอที่เสนอผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด จะเป็นผู้ผ่านการพิจารณาและเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาต่อไป กรณีที่มีผู้ยื่นข้อเสนอให้ผลตอบแทนสูงสุดเท่ากันมากว่า 1 ราย ให้ผู้ยื่นข้อเสนอทั้งหมด ยื่นข้อเสนอด้านผลประโยชน์ตอบแทนใหม่ โดยข้อเสนอด้านผลประโยชน์ตอบแทนใหม่นั้นห้ามต่ำกว่าระดับข้อเสนอด้านผลประโยชน์ตอบแทนเดิม ส่วนการประเมินซอง 5 ข้อเสนอแนะในการเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการนั้น จะไม่ถูกนำมาใช้ในการประเมินผู้ยื่นข้อเสนอ โดยเอกสารซอง 5 จะถูกเปิดก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจา และผูกพันผู้ผ่านการพิจารณา
ได้สิทธิบริหารท่าเรือ35ปี
รายงานข่าวระบุว่า เอกชนที่ซื้อประกวดราคาแหลมฉบังเฟส 3 มี 32 ราย แบ่งออกเป็นเอกชนจากญี่ปุ่น 4 ราย ฮ่องกง 2 ราย จีน 1 ราย ฟิลิปปินส์ 1 ราย สิงคโปร์ 1 ราย อินเดีย 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 2 ราย เบลเยี่ยม 1 ราย สวิสเซอร์แลนด์ 1 ราย และเอกชนไทย 18 ราย โดยบริษัทดำเนินธุรกิจเดินเรือ เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านโลจิสติกส์ในระดับโลก อาทิ บริษัท ฮัทชิสัน แหลมฉบัง เทอร์มินัล ของฮ่องกง บริษัทท่าเรือและการขนถ่ายสินค้าสิงคโปร์ (Port of Singapore Authority : PSA) บริษัท แหลมฉบัง อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด ของกลุ่มดูไบ
ขณะที่เอกชนไทย พบว่ามีบริษัททุนใหญ่ อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เครือ ปตท. ที่เข้ามาซื้อซองในนามบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด (PTT Tank) รวมไปถึงบริษัทรับเหมาอย่าง บริษัท อิตาเลียนไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ยูนิค เอ็มจิเนียริ่ง แอนคอนสตรัคชั่น จำกัด และบริษัท เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
ทั้งนี้ ผู้ที่ชนะการประมูลจะได้สิทธิ์ออกแบบ ก่อสร้าง ให้บริการ และซ่อมบำรุงรักษาโครงการ ประกอบไปด้วย ท่าเทียบเรือ F1 และ F2 เป็นระยะเวลา 35 ปี โดยเอกชนจะต้องเข้าบริหารจัดการพื้นที่ในช่วง 2 ปีแรก บนพื้นที่ 1,000 เมตร และภายใน 6 ปี จะต้องพัฒนาบริหารจัดการพื้นที่ให้ครบทั้ง 2,000 เมตร เพื่อรองรับการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่รองรับตู้สินค้าได้ 4 ล้านตู้ต่อปี และอาจจะขยายได้ถึง 5-6 ล้านตู้ ซึ่ง กทท.จะลงทุนพัฒนาที่ดินและสาธารณูปโภค เช่น ถมทะเล ทำถนน ระบบไฟฟ้า ทางรถไฟ วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ภายใน 2 ปี ก่อนส่งมอบให้เอกชนพัฒนาต่อ รวมวงเงินพัฒนาทั้งหมด 3 หมื่นล้านบาท