กูรูชี้"ทรัมป์"ทำไม่ได้หลังมีกระแสข่าวเตรียมปลดประธานเฟด

กูรูชี้"ทรัมป์"ทำไม่ได้หลังมีกระแสข่าวเตรียมปลดประธานเฟด

ขณะผู้เชียวชาญระบุประธานาธิบดีสหรัฐไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้ เนื่องจากการกระทำของ“เจอโรม พาวเวล” ไม่เข้าข่ายผิดกฏหมายและต้องผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรส

ผู้เชี่ยวชาญของมอร์แกน สแตนลีย์ บริษัทการเงินระดับโลกของสหรัฐ ชี้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจไม่พอใจ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่ประธานาธิบดีสหรัฐไม่มีอำนาจปลดพาวเวลออกจากตำแหน่ง

นายเอลเลน เซนท์เนอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมอร์แกน สแตนลีย์ เผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถเสนอชื่อประธานเฟดได้ แต่หลังจากมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว ประธานาธิบดีไม่มีสิทธิที่จะปลดประธานเฟดได้

“วิธีเดียวที่คุณจะปลดประธานเฟดออกจากตำแหน่งคือในกรณีที่เขาทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจนเท่านั้น และสภาคองเกรสจะต้องหาสาเหตุการปลดประธานเฟดผ่านการลงมติและทำตามขั้นตอน”

ทั้งนี้ เว็บไซต์วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า กฎหมายสหรัฐกำหนดไว้ว่า เจ้าหน้าที่ของเฟด และหน่วยงานอิสระอื่น ๆ สามารถถูกปลดได้หากมีเหตุผลสมควร “เหตุผล” ในที่นี้มักหมายถึงเรื่องนอกเหนือจากการมีความเห็นไม่ลงรอยกับประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่เคยมีประธานเฟดถูกประธานาธิบดีสหรัฐปลดแม้แต่คนเดียว

“พาวเวลจะอยู่ในตำแหน่งต่อไป เขาไม่เอนเอียงตามกระแสทางการเมือง เขาตัดสินใจตามข้อมูลที่บ่งชี้เกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจแน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และหากเฟดพักการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ก็ไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกัน” เซนท์เนอร์ กล่าว

ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์มอร์แกน สแตนลีย์มีขึ้นไม่นาน หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างแหล่งข่าววงในวานนี้ (22 ธ.ค.)ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังหารือเรื่องการปลดพาวเวล ออกจากตำแหน่งประธานเฟดหลังจากผิดหวังและไม่พอใจประธานเฟดรายนี้ที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ย และทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวร่วงลงอย่างหนัก

แหล่งข่าวระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้หารือเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับการปลดพาวเวลมาหลายครั้งแล้วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่โฆษกทำเนียบขาว ปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว เช่นเดียวกับ มิเชล สมิธ โฆษกเฟดที่ปฏิเสธที่จะยืนยันข่าวนี้

ข่าวการปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งมีขึ้นหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันพุธ (19 ธ.ค.) ที่ผ่านมา เป็นครั้งที่ 4 ของปีนี้ และส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต

ขณะที่ตลาดเงินและตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งรวมทั้งตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ที่เคยหวังว่าจะเห็นภาพรวมของนโยบายที่ดีขึ้น จึงพากันเทขายหุ้นทิ้งอย่างมากส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดปรับตัวลงอย่างหนัก โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เผชิญหน้ากับสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินปี 2551 ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก ดิ่งลงอย่างหนักเช่นกัน

อย่างไรก็ตามความพยายามที่จะปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งของผู้นำสหรัฐ อาจถูกมองว่าเป็นการบั่นทอนความเป็นอิสระในการบริหารงานของธนาคารกลางได้ด้วยเช่นกัน

 ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่า เฟดเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่สุดสำหรับเขา และเขาวิตกกังวลว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ