ปฏิบัติการล้วงตับสหรัฐชนวนแตกหักใหม่กับจีน

รัฐบาลจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาของสหรัฐที่ว่าปักกิ่งปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์กับอย่างน้อย 12 ประเทศซึ่งรวมถึงสหรัฐมานาน เพื่อชิงความลับทางการค้าและราชการจำนวนมหาศาล นับเป็นการตอบโต้ที่อาจเพิ่มความตึงเครียดระหว่าง 2 เศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลก

“รัฐบาลจีนไม่เคยมีส่วนร่วมหรือสนับสนุนการโจรกรรมข้อมูลลับด้านอุตสาหกรรม” กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลง วานนี้ (21 ธ.ค.) พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลวอชิงตันถอนข้อกล่าวหานี้

สหรัฐดำเนินคดีกับชาวจีน 2 คนฐานทำการโจมตีทางไซเบอร์ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ธ.ค.) ว่า ชาย 2 คนนี้ขโมยทรัพย์สินและข้อมูลลับทางธุรกิจจากบริษัทเทคโนโลยีและหน่วยงานรัฐมากกว่า 45 รายในสหรัฐ ซึ่งรวมถึงกองทัพเรือสหรัฐ และองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซา)

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ระบุว่า จู หัว และจาง ซื่อหลง ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นแฮกเกอร์ ปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยความร่วมมือกับกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ซึ่งกำกับดูแลด้านงานข่าวกรอง

ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เชื่อว่าทั้ง 2 คนอยู่ในจีน แต่สามารถถูกจับกุมได้หากเดินทางไปต่างประเทศ

การดำเนินคดีดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เนื่องจากเขากำลังหาทางคลายความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐในช่วงการเจรจา 90 วัน และอาจยิ่งเพิ่มความตึงเครียดระลอกใหม่ หลังมีการจับกุม “เมิ่ง หว่านโจว” หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมของจีนในแคนาดาตามคำร้องขอของรัฐบาลวอชิงตัน

กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ชี้ว่า ข้อมูลที่ถูกโจรกรรมไปนั้น รวมถึงหมายเลขประกันสังคมและวันเดือนปีเกิดของเจ้าหน้าที่กองทัพเรือ 1 แสนนาย และว่า การโจรกรรมไซเบอร์ที่จีนสนับสนุน ยังแผ่ขยายในอย่างน้อย 12 ประเทศ ได้แก่ บราซิล แคนาดา ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) สหราชอาณาจักร และสหรัฐ

โรเซนสไตน์ ระบุว่า ชาวจีน 2คนนี้เป็นสมาชิกของกลุ่มโจรกรรมทางอินเทอร์เน็ตของจีนชื่อว่า “เอพีที-10” (APT-10)ทำหน้าที่ใช้มัลแวร์ในการเจาะเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์และขโมยข้อมูลต่าง ๆ มาเป็นเวลานาน

“พวกเขามีหน้าที่สำคัญคือล้วงข้อมูลเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งของรัฐบาลและภาคเอกชนของประเทศต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานข่าวกรองจีนเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ๆ และทำให้จีนมีความได้เปรียบทางการค้าและเทคโนโลยีเหนือประเทศอื่นอย่างไม่ถูกต้อง”