สธ.มอบ 3 ของขวัญชิ้นใหญ่ปีใหม่ 2562

สธ.มอบ 3 ของขวัญชิ้นใหญ่ปีใหม่ 2562

สธ.มอบ 3 ชิ้นใหญ่เป็นของขวัญปีใหม่คนไทย บูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ -เพิ่มสิทธิประโยชน์ตรวจยีนแพ้ยาลมชักฟรี-สมาร์ท การ์ด อสม. ระบุมุ่งให้คนไทยมีสุขภาพดี

เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.61 ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) แถลงข่าว “สธ.มอบของขวัญปีใหม่เพื่อคนไทย ปี 2562”ว่า สธ.มุ่งเน้นให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพดี จึงมอบ 3 ของขวัญชิ้นใหญ่ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2562 ประกอบด้วย 1.จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดุแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมิรทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นดำริของนายกรัฐมนตรีที่ให้มีการบูรณาการหน่วยแพทย์จากทุกภาคส่วน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานทั้งสุขกายและสุขภาพจิตให้กับประชาชนในถิ่นทุรกันดาร 878 อำเภอทั่วประเทศ ดำเนินการในช่วงเดือนธ.ค. 2561 และ 7-20 ม.ค.2562

2.การเพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบหลักหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง สำหรับผู้ป่วยโรคลมชักก่อนเริ่มให้ยารักษา โดยการตรวจยีนที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการแพ้ยากันชักคาร์บามาซีปีน(Carbamazepine) ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับยาโดยไม่แพ้ยา ซึ่งวิธีการตรวจหายีนนี้พัฒนาขึ้นโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถประหยัดงบประมาณการนำเข้าจากเดิมอยู่ที่ครั้งละ 2,000 บาทต่อคน เหลือเพียง 100 บาทต่อคน ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนที่อยู่ในสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคมก็จะได้รับการตรวจนี้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดยเบื้องต้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะสนับสนุนงบประมาณ และอยู่ประสานกับกรมบัญชีกลางและสำนักงานประกันสังคมในการจัดไว้ในสิทธิประโยชน์ด้วย

และ3.โครงการจัดทำบัตรสมาร์ท การ์ดอสม.(Smart Card) จะใช้เป็นบัตรประจำตัวของอสม. และพัฒนาระบบการเบิกจ่ายค่าป่วยการในการออกไปดำเนินงานของอสม.ผ่านระบบe-paymentในการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของอสม.ทั้ง 1.039 ล้านคน โดยจะเชื่อมโยงกับระบบไลน์ @Smart อสม.ที่จะเป็นช่องทางในการส่งองค์ความรู้หรือข้อสั่งการจากส่วนกลางไปยังอสม.พร้อมกันกว่า 1 ล้านคนในครั้งเดียวและรายงานผลจากอสม.มาส่วนกลางด้วย ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานเชิงรุกในการดูแลสุขภาพของประชาชนเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้านนพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดสธ. กล่าวว่า กิจกรรมหลักของหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ประกอบด้วย บริการการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ทันตกรรม ตรวจตา สุขภาพจิต การแนะนำและฝึกอาชีพและกิจกรรมอื่นๆตามบริบทพื้นที่ โดยผลการดำเนินงานในครั้งแรก 11-19 ธ.ค.2561 ทั้งหมด 584 อำเภอ และกทม.รายงานเบื้องต้นจาก 139 หน่วย มีผู้มาใช้บริการตรวจสุขภาพทั่วไป 17,724 ราย ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาผู้เชี่ยวชาญ 884 ราย ทันตกรรม 10,050 ราย ตรวจสายตา 8,037 ราย บริการสุขภาพจิต 10,945 ราย ฝึกอาชีพ 6,334 ราย และอื่นๆ เช่น นวดแผนไทย ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง ทำหมันสัตว์เลี้ยง บริการตัดผม ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น 14,749 ราย

นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒยา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีตั้งแต่ 2545-2554 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ได้รับรายงานผู้ป่วยที่มีผื่นแพ้ยารุนแรงราว 5,000 ราย เกิดจากยาคาร์บามาซีปีนปีละประมาณ 160-180 ราย ซึ่งเมื่อมีอาการแพ้ยานี้จะมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงหลักล้านบาท ดังนั้น การให้สิทธิประโยชน์ในการตรวจหายีนแพ้ยาจะมีความคุ่มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เพราะการตรวจยีนก่อนการรับยาจะใช้งบประมาณต่อคนไม่มาก ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2562 มีผู้ป่วยโรคลมชักที่ต้องได้รับการตรวจยีน 29,534 ราย ใช้งบประมาณราว 30 ล้านบาท โดยจะลดจำนวนผู้ป่วยที่เกิดผื่นแพ้ยารุนแรงจากยาคาร์บามาซีปีนและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาถึง 256 ล้านบาท

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในการรักษาโรคลมชักจะใช้ยาคาร์บามาซีปีน แต่พบว่าคนไทยจะมีการแพ้ยานี้จำนวนมาก และแพ้รุนแรงชนิดกลุ่มสตีเวนส์ จอห์นสัน ซินโดรมและ?อกวิน อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส โดยผิวหนังหลุดลอกทั้งตัวรวมทั้งเมือกบุอวัยวะภายในต่างๆ ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าปีละ 10 รายหรือบางคนตาบอด ซึ่งคนไทยมียีนแพ้ยาที่ฝรั่งไม่ค่อยมี คือ ยีน HLA-B*1502 พบ 1 ใน 6 คน ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้พัฒนาเทคนิคการตรวจสารพันธุกรรมเสี่ยงนี้ขึ้น และนำมาใช้ตรวจในผู้ป่วยรายใหม่ที่จะต้องรับยานี้ หรือผู้ที่กินยานี้น้อยกว่า 2 เดือน เพื่อเป็นการป้องกันการแพ้ยาที่รุนแรงให้กับผู้ป่วย โดยศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 15 แห่งทั่วประเทศสามารถตรวจและรายงานผลได้ภายใน 24 ชั่วโมงหากผลเป็นบวกและ 5 วันหากผลเป็นลบ

นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวว่า สธ.ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) จัดทำบัตร Smart Card ให้กับอสม.ระยะแรกภายใน 31 ธ.ค.2561 ในพื้นที่ 12 เขตสุขภาพ เขตละ 1 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุทัยธานี นนทบุรี เพชรบุรี สระแก้ว ขอนแก่น บึงกาฬ ชัยภูมิ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี และสงขลา และระยะที่ 2 ครอบคลุมอีก 64 จังหวัดที่เกลือ ภายใน 20 มี.ค.2562 โดยคุณสมบัติของบัตรนี้จะใช้เป็นบัตรประจำตัวอสม. เป็นบัตรเดบิตกดเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มได้ทุกธนาคารโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ใช้ชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆตามที่กำหนด ไม่มีค่าธรรมเนียมในการทำบัตรและค่าบริการใช้บัตร และอสม.ทุกคนจะสมัครเข้า Official Lineอสม.เพื่อรับข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพไปเผยแพร่แก่ประชาชน