สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือเอ็นไอเอ ลงนามความร่วมมือกับกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการนวัตกรรมไทยให้มีโอกาสก้าวสู่ระดับสากล ภายใต้แนวคิด “การทูตนวัตกรรม” (Innovation Diplomacy)
นำความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาช่วยขับเคลื่อนในการก้าวสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม (Innovation Nation)
กรอบแนวคิดนี้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยพื้นฐานความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับหน่วยงานที่มีศักยภาพทางนวัตกรรมทั่วโลก มายกระดับความเป็นสากลของนวัตกรรมไทยและพัฒนาภาพลักษณ์ประเทศให้ก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม” ในสายตาของประชาคมโลก
การทูตนำทางนวัตกรรม
“เราต้องการต่อยอดยุทธศาสตร์ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ต้องการให้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เป็นเรื่องการทูต จึงเกิดความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ ในการไปเยี่ยมเยือนและทำงานร่วมกับสถานทูตไทยในประเทศต่างๆ จนเริ่มเห็นภาพว่า แพลตฟอร์มนี้ มีความเป็นไปได้จริง” พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมฯ กล่าว
แผน 5 ปีตามกรอบยุทธศาสตร์ของสำนักงานในช่วงปี 2560-2565 สำหรับการทูตนวัตกรรมนี้จะใช้กลยุทธ์ 3Gs คือ 1. การสร้างเครือข่ายในกลุ่มองค์กรรัฐและองค์กรนานาชาติที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกันในประเทศเป้าหมาย(Government to Government หรือ G2G) 2. G2I (Govt. to Investor) เชื่อมโยงกับนักลงทุนที่สนใจการทำธุรกิจนวัตกรรมกับภาคเอกชนไทย และ G2S (Govt. to Startups) สรรหาความร่วมมือกับนักทุนและบริษัทข้ามชาติมาร่วมลงทุน และ 3.จัดตั้งธุรกิจกับสตาร์ทอัพไทยเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพในการแข่งขันระดับสากลให้แก่ภาคธุรกิจนวัตกรรม
กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการนี้เดินหน้าแล้วใน 28 ประเทศ อาทิ จีน อิสราเอล ลาว ออสเตรีย เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน แอฟริกาใต้และสหรัฐ ในปี 2562 จะขยายขอบเขตการทำงาน โดยจะลงนามความร่วมมือกับประเทศชิลีในช่วงต้นปี
จากนั้นก็จะขยับไปที่เคนย่าและแอฟริกาใต้ในเรื่องของเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ตามมาด้วยกลุ่มยุโรปกลาง 4 ประเทศ ได้แก่ โปแลนด์ ฮังการี เชค และสโลวาเกีย ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่สามารถเจาะตลาดยุโรปตะวันออก และยังเป็นกลุ่มประเทศที่เอสเอ็มอีไทยมีความเป็นไปได้ที่จะลงทุนหรือทำตลาด ด้วยค่าครองชีพไม่สูงมาก
“ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมไทยที่ร่วมกับเราในการใช้การทูตนวัตกรรม ส่วนใหญ่มุ่งไปทางด้านเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ คาดว่าจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจหลักหมื่นล้านใน 2-3 ปี และในปี 2562 แนวโน้มของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์จะมา”
นอกจากเทคโนโลยีชีวภาพที่ยังคงเป็นเทรนด์ต่อเนื่องแล้ว เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวรวมถึงเทรนด์ใหม่อย่างมาร์เทค (MAR: Music, Art and ReCreation) เป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงมากอย่างตลาดเพลง ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง จึงเป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตามองและผลักดันผู้ประกอบการไทยไปพร้อมกัน
ติดปีกผู้ประกอบการไทย
บริษัท กรีน อินโนเวทีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด (GIB)เป็น 1 ในผู้ประกอบการไทยที่สร้างตลาดใหม่จากการทูตนวัตกรรม จากการเข้าร่วมออกงานแฟร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพอย่าง BioWorld 2018 ที่สหรัฐ และสร้างโอกาสทางธุรกิจกับ 2 บริษัทที่จะเอื้อให้สามารถบุกตลาดสหรัฐและยุโรปได้ในเวลาไม่เกิน 5 ปี
น.สพ. กษิดิ์เดช ธีรนิตยาธาร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านนวัตกรรม GIB กล่าวว่า จากงานแฟร์ดังกล่าวทำให้มีความร่วมมือกับพันธมิตรทางการค้า 2 รายคือ บริษัทด้านเทคโนโลยีอาหารสัตว์และการเกษตรของสหรัฐ และฝรั่งเศส ที่สนใจ “บิ๊ก” วัคซีนพืชจากเปลือกปู กุ้งและแกนปลาหมึก ของเหลือทิ้งทางการเกษตร โดยมูลค่าทางเศรษฐกิจของดีลนี้อยู่ที่ 300-400 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างสินค้าไปให้ทดสอบ และเตรียมข้อมูลสำหรับการทำข้อตกลงในรายละเอียด ในปี 2562 จะเริ่มทดสอบภาคสนาม และสรุปผล ซึ่งคาดว่า ใช้เวลา 2-3 ปี
“เนื่องจากเราเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นดีพเทค ทำให้การทดสอบต่างๆ ใช้เวลา ดังเช่นในเวียดนามที่เราต้องทดสอบวิเคราะห์ ใช้เวลา 4-5 ปี กว่าจะตั้งโรงงานผลิตในเวียดนามได้ ในขณะที่อีก 4 ประเทศคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน และเกาหลี เป็นการส่งออกไปขาย หากเราสามารถบุกตลาดสหรัฐได้ก็จะทำตลาดในประเทศอื่นๆ ได้อีกมาก”