"นที" รองประธาน กสทช. พ้นผิดถูกอาร์เอสฟ้อง ม.157 ลงมติ-ออกประกาศ ให้ บ.อาร์เอส แชร์สัญญาณฟรีทีวีถ่ายทอดบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย
เมื่อเวลา 10.15 น. ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำอ.3209/57 ที่บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง สปอร์ แมเนจเม้นต์ จำกัด เป็นโจทก์ฟ้อง พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการ กสทช. เป็นจำเลยในความผิดฐาน ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 5 พ.ย.55 - 30 เม.ย.56 ต่อเนื่องกัน จำเลย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งกรรมการ กสทช. ได้ให้ความเห็นชอบในการประกาศหลักเกณฑ์ รายการโทรทัศน์สำคัญที่เผยแพร่ได้เฉพาะในบริการโทรทัศน์ที่เป็นการทั่วไป พ.ศ.2555 โดยไม่ฟังคำโต้แย้งจากโจทก์ ซึ่งเป็นผู้ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกปี ค.ศ.2014 จากประเทศบราซิล และจำเลยยังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนจนทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า บริษัทโจทก์ประกอบธุรกิจเอาเปรียบประชาชน ซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม. โดย "นายนที" รอง ปธ.กสทช. จำเลยให้การปฏิเสธสู้คดี และได้รับการประกันตัว
ซึ่งวันนี้ "นายนที" ก็เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมทนายความ ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การลงมติและออกประกาศดังกล่าวเป็นไปตามกานพิจารณาเป็นไปตามการพิจารณาของที่ประชุม กสทช. ซึ่งเป็นการทำในรูปแบบของคณะกรรมการ มิใช่พิจารณาโดยจำเลยเพียงลำพัง ขณะที่การพิจารณาก่อนออกร่างประกาศดังกล่าว ทางจำเลยก็มองหมายให้เจ้าหน้าที่ในสำนักงาน กสทช.ไปพิจารณาเนื้อหาการถ่ายทอดรายการเกี่ยวกับกีฬาอย่างรอบด้านซึ่งมีการพิจารณาถึงกีฬาพื้นภาคแถบยุโรป และยังได้ดำเนินตามกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว
โดยที่ประชุม กสทช. ได้มีมติเห็นว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการรับชมรายการโทรทัศน์สำคัญจึงให้นำรายการถ่ายทอดสดฟุตบอบโลกรอบสุดท้ายไปอยู่ในภาคผนวกเพื่อให้มีการแชร์สัญญาณสู่ฟรีทีวี โดยประชาชนทั่วไปสามารถรับชมได้อย่างเสมอภาค เป็นธรรม และเท่าเทียมกัน ซึ่งศาลเห็นว่า แม้จะกระทบสิทธิของโจทย์บ้าง แต่การออกประกาศดังกล่าวก็ได้พิจารณาถึงประโยชน์ของประชาชนทั่วไปเป็นสำคัญ เพื่อให้ได้รับความเสมอภาค ส่วนที่จำเลยได้แถลงข่าวมีเนื้อหากล่าวถึงมาตรการการปรับ การพักใบอนุญาตหากมีการฝ่าฝืนนั้น ก็เป็นการที่จำเลยได้แถลงข่าวให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับมติที่ประชุมและแนวทางซึ่งขณะนั้นประชาชนก็ให้ความสนใจในข่าวดังกล่าว โดยความผิดตามมาตรา 157 นั้น ก็จะต้องปรากฎว่ามีเจตนาพิเศษที่จะให้ผู้ใดผู้หนึ่งเสียห่าย แต่ในทางนำสืบไม่ปารากฎว่า การกระทำของจำเลย จะเป็นการกลั่นแกล้งโจทย์ แต่การกระทำของจำดลยนั้นเป็นไปจามอำนาจหน้าที่ของ พรบ.องค์กรการจัดสรรคลื่นความถี่ฯ และ พรบ.ประกอบกิจโทรทัศน์ฯ จึงพิพากษายกฟ้อง ภายหลัง นายนที รองประธาน กสทช. กล่าวว่า การปฏิบัติของ กสทช. ที่ผ่านมา ได้คำนึงถึงความเสมอภาคแบะเป็นธรรมของประชาชน ซึ่งในการรับชมการถ่ายมอดฟุตบอลในครั้งนั้น ทำให้ไม่ต้องซื้อกล่อง ส่วนที่โจทย์จะอุทธรณ์ก็เป็นสิทธิที่จะดำเนินการต่อไป