แม่น้องเต้นศ.อุเทนถูกแทงดับ ร้องอัยการตามเอกสารคดียื่นอุทธรณ์

แม่น้องเต้นศ.อุเทนถูกแทงดับ ร้องอัยการตามเอกสารคดียื่นอุทธรณ์

แม่สูญเสียลูกถูกแทง-สามีโดดตึก ร่ำไห้ร้องอัยการขอคัดสำนวน ตร.สอบเเพทย์-พยาน "ทนาย" เผยยื่นอุทธรณ์เหมือนอัยการ ขอศาลอุทธรณ์สอบพยานปากเอกเพิ่ม เชื่อไม่ป่วยวิกลจริต หลังก่อเหตุได้ถึง 8 คดี

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 ธ.ค.61 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.เเจ้งวัฒนะ นางเรวดี ทัฬหสุนทร มารดาของนายธนิต หรือเต้ อายุ 23 ปี นักศึกษาช่างก่อสร้างอุเทนถวายฯ ที่เสียชีวิตจากการถูกเเทงช่วงสงกรานต์ ปี 2559 เดินทางมาพร้อมกับนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ยื่นคำร้องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ให้มีหนังสือขอคัดสำนวนคดีของบุตรชายจากกองวินัยจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยนางเรวดี ได้สูญเสียบุตรชายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และเวลาต่อมาเมื่อคดีมีการพิจารณาในชั้นศาล ก็ต้องเสียสามีคือนายศุภชัย อายุ 52 ปี ที่กระโดดอาคารศาลตกลงมาเสียชีวิตภายหลังมีอาการเครียดและเสียใจจากที่ผลคำพิพากษาคดีการเสียชีวิตของบุตรชายที่ยกฟ้องไปในศาลชั้นต้น เนื่องจากพยานโจทก์ยังขาดน้ำหนักซึ่งวันนี้ "นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง" รอง โฆษกอัยการสูงสุด เป็นผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด รับมอบหนังสือจากนางเรวดีดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นางเรวดี ได้พบกับอัยการ ก็ก้มลงกราบเเละร้องไห้โฮ โดยกล่าวว่า “ทุกวันนี้เครียด หนักใจ ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ตั้งเเต่พ่อเขาจากไป หนูอยากจะตายจริงๆ ท่านรู้ไหมหนูอยากไปโดดตึกตายที่สำนักงานตำรวจเเห่งชาติเลย หนูพูดจริงๆถ้าหนูเป็นอะไรไป หนูฝาก ดูเเลลูกชาย(คนเล็ก)หนูด้วยนะ”

ขณะที่ นายโกศลวัฒน์ รองโฆษกอัยการฯ ต้องเข้าปลอบ พร้อมกล่าวให้กำลังใจในการมีชีวิตอยู่เพื่อติดตามความเป็นธรรมในคดีเเละเพื่อลูกชายเเละพ่อเเม่ที่เหลืออยู่ โดยยืนยันว่าพนักงานอัยการจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการสู้คดีในศาลสูงต่อไป ซึ่งสำนวนดังกล่าวที่ยื่นอุทธรณ์ผ่านการพิจารณาของพนักงานอัยการระดับอธิบดี เเละรองอธิบดี มีโอกาสที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับ ภายหลังยื่นหนังสือต่ออัยการแล้ว

นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความของครอบครัวทัฬหสุนทร ก็ได้เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา ตน ก็ไปยื่นหนังสือถึง ผบช.น. เพื่อขอสำนวนการสอบสวน คำให้การของแพทย์หญิงโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กับนายเกริกไกร เดชขุนพล หรือฟลุ๊ก มาเป็นพยานประกอบในการเขียนอุทธรณ์คดีต่อศาลว่า นายพีรวิชญ์ ปุตตะจินารักษ์หรือตง พยานสำคัญในคดีนี้ สามารถเบิกความต่อศาลได้ การยื่นใบรับรองแพทย์ครั้งแรกถือว่าไม่สุจริต ไม่โปร่งใส เพราะใบรับรองแพทย์ออกมาในเดือน ม.ค.60 แต่การสืบพยานทำในเดือน มิ.ย.60 ห่างกันถึง 5 เดือนซึ่งแพทย์ไม่ได้บอกว่าเบิกความไม่ได้แต่ให้ชะลอไปก่อน

นายอนันต์ชัย ระบุอีกว่า ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช อดีต ผบช.น. ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนดูถึงความบกพร่องคดีนี้แล้ว ได้มีการสอบสวนแพทย์และนายเกริกไกร แพทย์ยืนยันว่านายพีรวิชญ์ สามารถเบิกความเป็นพยานต่อศาลได้ ตนทราบว่าคำให้การตรงนี้มีความสำคัญมาก ประกอบกับวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.ประเวศ ได้จับกุมนายพีรวิชญ์ ข้อหาทำร้ายร่างกายปล้นทรัพย์ และมีคดีอื่นอีก 7 คดี รวมแล้ว 8 คดี แสดงว่านายพีรวิชญ์ มีสติสัมปชัญญะ ผกก.สน.ประเวศ คุยกับตนยืนยันกับสื่อว่านายพีรวิชญ์ให้การได้ ชี้สถานที่เกิดเหตุได้ ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แสดงว่าการยื่นคำให้การเมื่อเดือน มิ.ย.60 มีปัญหา ซึ่งคนที่ไปยื่นคือบิดาของนายพีรวิชญ์ หรือคนออกใบรับรองแพทย์จะมีปัญหาต่อไปในอนาคต ถ้าศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจสอบย้อนเพิ่ม ตนทำหนังสือยื่นไปที่ บช.น. ใช้เวลาติดตามถึง 2 เดือน ไม่ให้ความร่วมมือเลย ตนเลยโพสต์เฟซบุ๊กว่าหมดหวัง บังเอิญเมื่อเดือนที่แล้วไปออกรายการกับนายโกศลวัฒน์ ก็ให้แนวทางกับตนว่า ถึงแม้ทนายความไม่ได้มา อัยการก็สามารถเรียกหนังสือนี้จากกองวินัย สตช. มาประกอบการยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ได้ เพราะอัยการก็ยื่นอุทธรณ์ไปแล้ว จึงเป็นความหวังของตนกับนางเรวดี

20181219135227849
ขณะที่ นายอนันต์ชัย กล่าวถึงความรู้สึกของครอบครัวผู้สูญเสียว่า นางเรวดีบอกว่า ถ้าแพ้คราวนี้อีกจะไปโดดตึก สตช. จะประท้วง สตช. อัยการท่านก็ปลอบใจว่าอย่าทำอย่างนั้น ตนรู้สึกสงสารมาก ตอนนี้นอกจากเรื่องนี้แล้วก็มีเรื่องมรดกอีก ที่ช่วยทั้งหมดช่วยด้วยใจ ตนไม่ใช่ทนายหน้าโซเชียล ตนจะให้สัมภาษณ์เฉพาะคดีที่เกี่ยวกับตน การวิจารณ์คดีเป็นเรื่องไม่สมควร คดีนี้ตนทำด้วยใจเพราะสงสาร คนไม่ได้รับความยุติธรรมมีเยอะ คดีนี้ตนมีความสัมพันธ์ตั้งแต่ที่นายศุภชัยไปติดตามฟังคดีวัยรุ่นฆ่าชายพิการ (คดีชายพิการขายขนมปังย่านโชคชัย) เพื่อหาแนวทางมาสู้คดีให้บุตรชาย เป็นยอดคุณพ่อที่ทุ่มเท

โดยเมื่อตนเข้ามาเป็นทนายความคนใหม่ให้ครอบครัวนี้ ก็ตั้งทีมงานขึ้นมารวม 4 คน ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ในกระบวนการยุติธรรมร่วมกันเขียนอุทธรณ์ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เสร็จแล้ว ในวันพรุ่งนี้ (20 ธ.ค.) เวลา 13.30 น. ตนก็จะไปยื่นคำอุทธรณ์คดี ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งมีประเด็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ อาญา) มาตรา 208 (1) ที่ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งสืบเพิ่ม ทั้งนี้ขอขอบคุณ นายโกศลวัฒน์ มากที่ให้ความกรุณา ความเป็นธรรมต้องปรากฏ ตนยินดีคดีไหนเดือดร้อนรับทำแล้วตนต้องขึ้นว่าความสู่ศาลเอง ไม่ใช่รับทำคดีเเต่หน้าโซเชียลแล้วทิ้งลูกความเดือดร้อน

ด้านนายโกศลวัฒน์ รองโฆษกอัยการ กล่าวว่า ตั้งเเต่เกิดเหตุนายศุภชัย กระโดดตึกศาล อัยการเราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการคุยกับพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนก็ได้รายงานชี้เเจงตามลำดับชั้นมาว่า ได้ทำสำนวนอย่างรัดกุมเเละดีที่สุด พร้อมทั้งสั่งสอบสวนเพิ่มเติมหลายครั้งตามที่นายศุภชัย ได้มีการร้องขอเเละมีการประสานงานกับทางอัยการบ่อย จนเมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาเเบบนี้ เราก็ได้ยื่นอุทธรณ์ไปโดยคณะทำงาน ที่ประกอบด้วยระดับอธิบดีเเละรองอธิบดีอัยการ ซึ่งมีประเด็นหลักว่า พยานหลักฐานที่ได้นำสืบไปเเล้วนั้นเเม้จะมีการตัดประจักษ์พยานไปก็ยังพอที่จะรับฟังเเละลงโทษได้ ประเด็นที่ 2 ก็ขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาใช้ ป.วิอาญา มาตรา 208 สั่งให้นำตัวพยานที่เคยอ้างเหตุว่าวิกลจริตนั้นกลับมาเป็นพยาน เนื่องจากอัยการไปตรวจสอบเเล้วพบว่าใบเเพทย์ที่มีการยื่นว่าพยานดังกล่าววิกลจริตยังไม่สามารถเบิกความได้ออกมากว่า 5 เดือนก่อนที่จะมีการนัดให้เบิกความในศาล เเล้วอ้างเหตุใบเเพทย์ดังกล่าว ซึ่งนอกจาก 2 ประเด็นหลักนี้แล้ว ก็ยังมีรายละเอียดอีกมากพอสมควร ซึ่งเรื่องนี้อัยการได้พูดคุยกับนายอนันต์ชัย ทนายความ และก็ได้ประสานมาว่ายังมีเอกสารที่อยากได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสอบสวนวินัยที่ทางทนายไม่สามารถขอได้ ตนจึงเเจ้งไปว่าให้ส่งคำร้องมายังเราเพื่อที่จะได้มีการประสานงาน

นายโกศลวัฒน์ รองโฆษกอัยการฯ กล่าวอีกว่า เมื่อได้รับเรื่องแล้ว ก็จะนำเสนอ อัยการสำนักงานคดีศาลสูง ที่ดูแลเรื่องการอุทธรณ์คดีเพื่อให้พิจารณาสั่งการที่จะขอหลักฐานในสำนวนวินัย มาประกอบเป็นคำเเถลงหรือคำร้องประกอบอุทธรณ์ที่ได้ยื่นไปแล้ว ซึ่งขั้นตอนนี้ก็จะเป็นไปตามกรอบที่กฎหมายกำหนด เมื่อถามว่า ถ้ายังไม่ได้ประจักษ์พยานมาให้การเพิ่ม อัยการยังมั่นใจในการยื่นอุทธรณ์หรือไม่

รองโฆษกอัยการฯ กล่าวว่า ไม่ใช่เเค่ตนมั่นใจเท่านั้น อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีศาลสูง ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนการอุทธรณ์ ได้อ่านอุทธรณ์โดยละเอียดเเล้วเห็นว่าศาลอุทธรณ์อาจจะใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยได้ เพราะว่าการสืบพยานในศาลชั้นต้น มีการชี้ตัวลงชื่อเเละให้การในชั้นสอบสวน โดยมีพนักงานสอบสวนรับรอง ตรงนี้ถ้าเราดูคดีที่ผ่านมา ศาลมักจะฟังพยานที่ให้การในระยะเวลากระชั้นชิดที่เกิดเหตุในชั้นสอบสวน เนื่องจากมองว่าเป็นข้อเท็จจริงที่รับรู้โดยไม่มีการปั้นสรรปรุงเเต่ง เเต่ถึงที่สุดเราต้องเคารพดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ซึ่งมีความเป็นอิสระ

ด้าน มารดาของ นศ.อุเทนถวายฯ ที่เสียชีวิต ก็กล่าวในตอนท้ายว่า ขอขอบคุณอัยการที่ได้เมตตาต่อครอบครัว เเละเชื่อมั่นในตัวอัยการว่าจะได้รับความเป็นธรรม ขอให้เรื่องของลูกชายกับสามีได้รับความเป็นธรรมด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีแทง นศ.อุเทนถวายดังกล่าว ได้ฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.1089/2560 โดยพนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายณัฐพงษ์ เงินคีรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ฯ กรณีกล่าวหาเมื่อวันที่15 เม.ย.59 เวลากลางคืน จำเลยได้ใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงบริเวณร่างกายนายธนิต ทัฬหสุนทร จนถึงแก่ความตาย ก่อนหลบหนีไป เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 , 371 ประกอบมาตรา 83 เหตุเกิดบริเวณ ถ.ประชาสังคมสงเคราะห์ 1 ดินแดง กทม. ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีว่าไม่ใช่ผู้กระทำผิด

โดยศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ก.ค.61 ให้ยกฟ้อง เหตุผลโดยสรุป คือ ประจักษ์พยานที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์และให้การไว้ในชั้นสอบสวน ไม่อาจมาเบิกความในชั้นศาลได้เนื่องจากอยู่ระหว่างการรักษาอาการป่วยทางจิตที่โรงพยาบาล จึงต้องรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนที่นำส่งในชั้นศาลประกอบพยานหลักฐานอื่น แต่พยานหลักฐานอื่นยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ เช่น ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดพบว่าช่วงเวลาที่เกิดเหตุเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งมีผู้คนเป็นจำนวนมาก ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ปรากฎในชั้นศาลนั้นเห็นเเต่เพียงเหตุการปากทางเข้าซอยที่เกิดเหตุ เเต่ไม่สามารถบันทึกภาพบริเวณจุดเกิดเหตุไว้ได้ ดังนั้นเมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจึงมีคำพิพากษายกฟ้อง