นักวิเคราะห์ชี้หุ้น ‘แมนฯยูฯ’ ยังน่าซื้อ

นักวิเคราะห์ชี้หุ้น ‘แมนฯยูฯ’ ยังน่าซื้อ

นักวิเคราะห์ชี้ หุ้นของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ยังน่าซื้อ แม้ผลงานในสนามเข้าขั้นวิกฤติ เหตุมีประวัติศาสตร์ความสำเร็จเป็นเอกลักษณ์และฐานแฟนบอลขนาดใหญ่เป็นตัวแปรสำคัญ

บรรดานักวิเคราะห์ของ "เจฟเฟอรีส์" วาณิชธนกิจของสหรัฐ ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (17 ธ.ค.) ว่า นักลงทุนควรซื้อหุ้นของบริษัทแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (มหาชน) เนื่องจากอยู่ในสถานะดีที่สุดที่จะได้ประโยชน์จากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของลิขสิทธิ์รับชมการแข่งขัน และผลประโยชน์ที่มากขึ้นจากค่าโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

ข้อมูลจาก “ออปตา” บริษัทเก็บสถิติกีฬาชื่อดัง ชี้ว่า ผลงานบุกไปปราชัยต่อลิเวอร์พูล 3-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ “ปิศาจแดง” มีเพียง 26 คะแนนหลังลงแข่ง 17 นัดในศึกพรีเมียร์ลีก นับเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ฤดูกาล 1990-1991

อย่างไรก็ตาม นายแรนดัล เจ. โคนิก นักวิเคราะห์ของเจฟเฟอรีส์ มองข้ามเรื่องผลงานในระยะสั้น โดยอ้างว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีฐานแฟนบอลที่ “ไม่เหมือนใคร”

“แม้ผลงานของทีมสามารถสร้างความผันผวนได้ในแต่ละฤดูกาล แต่ประวัติศาสตร์การเป็นแชมป์และความสำเร็จของสโมสรนี้หาใครเทียบไม่ได้ และส่งผลให้มีผู้ติดตามมากกว่าทีมกีฬาทีมไหนในโลก” นายโคนิกระบุ

ข้อมูลของเจฟเฟอรีส์ คาดการณ์ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีแฟนบอลทั่วโลกราว 659 ล้านคน โดยเกือบครึ่งหรือ 325 ล้านคนอยู่ในเอเชียแปซิฟิก

อย่างไรก็ตาม ธนาคารสหรัฐรายนี้ยอมรับว่า ความล้มเหลวในการคว้าตั๋วไปเล่นศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (ยูซีแอล) ไม่ว่าจะปีใดก็ตาม เสี่ยงที่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้การถ่ายทอดสดของทีมในระยะสั้น

ปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รั้งอันดับที่ 6 ในตารางพรีเมียร์ลีก ตามหลังอันดับ 4 ซึ่งเป็นอันดับต่ำที่สุดที่จะได้ไปเล่นยูซีแอลในฤดูกาลหน้า ถึง 11 คะแนน ขณะที่ โชเซ มูรินโญ กุนซือที่เพิ่งถูกปลดในวันอังคาร (18 ธ.ค.) กล่าวหลังเกมแพ้ลิเวอร์พูลว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่ทีมจะจบในอันดับท็อปโฟร์ หรือ 4 อันดับแรก

หนทางเดียวที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะรักษาสิทธิของตนเพื่อลงแข่งในศึกเจ้าสโมสรยุโรปต่อไปในฤดูกาลหน้าคือจะต้องคว้าแชมป์ยูซีแอลฤดูกาลนี้ให้ได้ แม้อาจจะเป็นงานหนักยิ่งขึ้นเมื่อผลจับสลากรอบ 16 ทีมสุดท้ายปรากฏว่า ทีมต้องดวลกับ “ปารีส แซงต์ แชร์กแมง” (เปแอสเช) ยักษ์ใหญ่จากฝรั่งเศส

ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปีนี้ร่วงลงไปแล้วราว 12% ในการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเทียบกับปีที่แล้วที่ลดลง 3%