‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘อ่อนค่า’ ที่ 32.81 บาทต่อดอลลาร์

‘บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘อ่อนค่า’ ที่ 32.81 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทผันผวนในกรอบแคบ แนะจับตาสงครามการค้าเข้ามากดดัน และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดรวมถึงไทย

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ที่ระดับ 32.81 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจาก 32.80 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงสิ้นวันทำการก่อน 

ภาพรวมตลาดการเงินในสัปดาห์นี้ ต้องจับตาธนาคารกลางเกือบทุกวัน อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่านโยบายการเงินในปัจจุบันน่าจะเป็น “ตัวช่วย” ในการปรับสมดุลย์ของเสถียรภาพเศรษฐกิจและตลาดทุน เพราะธนาคารไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้มงวดมากถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ ทุกธนาคารกลางจะ “ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย” เพื่อรอความชัดเจนของเศรษฐกิจและการค้าโลกให้กลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งก่อน

ส่วนของค่าเงินบาท ช่วงนี้เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ แม้แนวโน้มหลักจะมีโอกาสแข็งค่าขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงสงครามการค้าเข้ามากดดัน ทำให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงอยู่เป็นครั้งคราว 

และสัปดาห์นี้แม้ตลาดจะรับข่าวไปบ้างแล้วว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยพร้อมกับกนง.ที่จะขึ้นดอกเบี้ย แต่เชื่อว่าตลาดไม่ได้ไว้ใจธนาคารกลางมากนัก ส่วนหนึ่งจึงรอความชัดเจนก่อน ดังนั้นเงินบาทจึงยังสามารถแข็งค่าขึ้นได้อีกเมื่อเหตุการณ์ทั้งสองเกิดขึ้นจริง

มองกรอบเงินบาทระหว่างวัน 32.75-32.85บาทต่อดอลลาร์ และกรอบเงินบาทในสัปดาห์ 32.60-33.10บาทต่อดอลลาร์

สำหรับในสัปดาห์นี้แนะนำจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

วันพุธ คาดว่ากนง.จะ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ระดับ 1.75% (+25bps)โดยมองว่าเหตุผลหลักในครั้งนี้ คือการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยในปัจจุบันเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถปรับให้แนวโน้มดอกเบี้ยไทยให้เป็น “ขาขึ้น” เช่นเดียวกับทั่วโลกได้โดยไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ดังนั้น เราจึงมองว่าหลังการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้กนง.จะ “หยุด” ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรอความชัดเจนของการเมืองในประเทศ และรอดูทิศทางของนโยบายการเงินทั่วโลกก่อน โดยอาจกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเร็วที่สุดในช่วงครึ่งหลังของปี 2019

คืนวันพุธ คาดว่าเฟดจะ “ขึ้น” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไปที่ระดับ 2.25-2.50% (+25bps) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนเฝ้ารอ คือการให้แถลงการณ์หลังจบการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ เรามองว่าเฟดมีโอกาส “ปรับลด” คาดการณ์ตัวเลขจีดีพีสหรัฐ และปรับลดเป้าหมายการขึ้นดอกเบี้ยลงเหลือ “สองครั้ง” ในปี 2019 และ “หนึ่งครั้ง”ในปี 2020 เนื่องจากความขัดแย้งทางการค้าส่งผลลบกับเศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลก และยังกดดันให้ตลาดการเงินสหรัฐเข้าสู่โหมดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) อย่างหนัก

วันพฤหัส การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นคาดว่าจะ “คง” อัตราดอกเบี้ยที่ -0.10% และคงเป้าหมายบอนด์ยิลด์ระยะยาว 10ปีที่ 0.00% นอกจากนี้บีโอเจก็จะไม่เปลี่ยนแปลงมาตรการการซื้อสินทรัพย์เสี่ยงในการประชุมครั้งนี้ด้วย

วันพฤหัส คาดธนาคารกลางอังกฤษจะ “คง” อัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% เนื่องจากทั้งเศรษฐกิจและค่าเงินปอนด์ยังคงเผชิญปัญหา Brexit ที่มีความไม่แน่นอนสูง

นักบริหารเงินธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า ตลาดโดยรวมยังคงเผชิญกับการปิดรับความเสี่ยงต่อ จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและความกังวลสงครามการค้า มองเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในกรอบกว้าง 32.60-33 บาทต่อดอลลาร์ ได้สัปดาห์หน้า ที่สำคัญจะต้องจับตาความผันผวนในตลาดการเงินที่อาจยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ ซึ่งตลาดอาจจะกลับมาผันผวนมากขึ้นหากเฟดยืนกรานที่จะขึ้นดอกเบี้ยได้ 3ครั้งในปีหน้า  รวมทั้งหากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐเพิ่มสูงขึ้น  

มองเงินบาทวันนี้มีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในช่วงกรอบ 32.75-32.90บาทต่อดอลลาร์