ทูตไทยแนะธุรกิจ“อาหาร” โอกาสโตสูงในตลาดจีน

ทูตไทยแนะธุรกิจ“อาหาร” โอกาสโตสูงในตลาดจีน

ปัจจุบัน จีน เปิดกว้างสำหรับสินค้าและบริการจากไทย ครอบคลุมถึงสินค้าโอท็อป สินค้าเกษตร สินค้าประเภทอาหารและสินค้าด้านวัฒนธรรม

นายพิริยะ เข็มพล เอกอัครราชทูต ณ.กรุงปักกิ่ง กล่าวถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ว่า มีทั้งแง่บวกและแง่ลบต่อประเทศไทยในส่วนของการลงทุนและการค้า จีน เริ่มแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการเปิดตลาดมากขึ้น ต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา จีนได้จัดงานเอ็กซ์โปใหญ่เพื่อนำเข้าสินค้าที่นครเซี่ยงไฮ้ เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า จีน ต้องการเปิดตลาดอย่างแท้จริง เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีนที่จัดงานเอ็กซ์โปเพื่อซื้อสินค้าจากประเทศต่างๆเพียงอย่างเดียว

ต่างจากงานเอ็กซ์โปทั่วไปที่จะมีการสั่งซื้อสินค้า2 ทาง ซึ่งช่วงนั้นไทย มีสินค้าประเภทอัญมณีไปเปิดบูธ และบูธด้านอาหาร นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า จีน ตระหนักถึงผลกระทบจากการที่ถูกกดดันจากสหรัฐ และจากชาติตะวันตกที่มองว่า จีน ยังเปิดตลาดไม่มากพอ ทำให้จีนหันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดด้านนี้ และงานเอ็กซ์โปลักษณะนี้จะมีเป็นประจำทุกปี ในส่วนของไทยมีบริษัทจำนวนมากให้ความสนใจเข้าร่วม

ปัจจุบัน จีน เปิดกว้างสำหรับสินค้าและบริการจากไทย ครอบคลุมถึงสินค้าโอท็อป สินค้าเกษตร สินค้าด้านวัฒนธรรมเช่น ศิลปะการแสดงรูปแบบต่างๆ และภาพยนต์ ธุรกิจการบริการจากไทยก็สามารถเข้าไปทำตลาดในจีนได้ เช่น ธุรกิจสปา ธุรกิจท่องเที่ยว อีกทั้งตลาดจีน ยังเป็นตลาดแห่งโอกาสของธุรกิจด้านอาหารในฐานะที่ไทยเป็นครัวโลก จึงควรมองเรื่องนี้เป็นโอกาส ขณะที่จีนและสหรัฐมีปัญหาทางการค้าระหว่างกัน

ในส่วนของการลงทุน เมื่อเกิดสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ และในระยะยาว ผู้ประกอบการจีนในลักษณะที่เป็นสตาร์ทอัพ เริ่มมองหาลู่ทางในการย้ายฐานการดำเนินงาน เพราะไม่อยากถูกเก็บภาษีในอัตรา25% ก็จะมองประเทศที่มีระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับการดำเนินธุรกิจของพวกเขาได้ เช่น โครงการต่างๆในอีอีซี ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการจีนที่ดำเนินธุรกิจด้านยาง ต้องการย้ายฐานการดำเนินงานมาที่ไทย เพื่อเลี่ยงถูกเก็บภาษี เช่นเดียวกัน ผู้ประกอบการสินค้าประเภทอื่นๆที่ต้องการเลี่ยงถูกเก็บภาษีในส่วนนี้ก็จะเริ่มย้ายฐานเข้ามาไทย เพราะฉะนั้น การที่เรามีนโยบายระดับชาติอย่างอีอีซีขึ้นมารองรับ จึงเป็นจังหวะที่ดี และเหมาะสมที่สุดที่จะดึงดูดบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพจากจีน ไม่เฉพาะแต่สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีเท่านั้น เข้ามาตั้งฐานในไทย

“ที่สำคัญ บรรยากาศความสัมพันธ์ไทย-จีน ไม่มีปัญหาต่อกัน เราอยู่ในจุดที่ดี ได้เปรียบหลายๆประเทศ ส่วนการท่องเที่ยว ผมคิดว่า ไม่ว่าจะมีสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐหรือไม่ นักท่องเที่ยวชาวจีนก็ยังคงมาท่องเที่ยวไทยเป็นจุดหมายปลายทางแรกเสมอ สำหรับชาวจีนที่เพิ่งเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก เทศกาลฉลองปลายปี ต้นปี และเทศกาลตรุษจีนชาวจีนยังต้องหาที่เที่ยว ที่กิน และมีชาวจีนที่มีฐานะร่ำรวยขึ้นทุกๆปี ซึ่งคนกลุ่มใหม่ที่มีรายได้สูงขึ้น อยากไปท่องเที่ยวต่างประเทศก็จะเลือกมาไทยเป็นประเทศแรก ผมคิดว่า ถ้าเราบริหาร จัดการให้ดี ควบคุมคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และมีมาตรฐานที่ดี เราจะยังคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากชาวจีนจำนวนมากเหล่านี้ได้ตลอดไปถึง2-3 ปีข้างหน้า” เอกอัครราชทูตประจำปักกิ่ง กล่าว

ส่วนประเด็นสังคมจีนยุคใหม่ กำลังก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด และการดำเนินกิจกรรมในชีวิตส่วนใหญ่สามารถจบได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ท่านทูตพิริยะ มีความเห็นว่า จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่และรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างทดลอง และทุกระบบต้องมีจุดอ่อน ซึ่งรัฐบาลจีนพยายามแก้ไข ปัจจุบันนี้ เมืองหังโจว เป็นเมืองเดียวที่เป็นสังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริง แต่เมืองอื่นๆยังคงผสมผสานระหว่างการใช้เงินสดและใช้เงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่นเดียวกับไทย ที่การใช้ระบบอี-เพย์เมนท์จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะในกรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เพียงแต่ความสะดวกเรื่องการโอนเงิน ใช้จ่ายเงินจะช่วยหนุนจำนวนนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น

สำหรับกรณีการจับตัวผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี ของทางการแคนาดา ตามการร้องขอของสหรัฐ เอกอัครราชทูตไทยประจำปักกิ่ง ให้ความเห็นว่า ไม่อยากให้เกิดประเด็นขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนเพิ่มขึ้น อยากให้สงครามการค้าระหว่าง2ประเทศนี้จบลง เพราะไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของภูมิภาค อยากให้อยู่กันอย่างสันติ เพื่อให้เกิดร่วมมือทางการค้า การลงทุนระหว่างกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง