JKN - ซื้อ

JKN - ซื้อ

ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61 และ 62 เพิ่มขึ้น 8% และ 7% ตามลำดับ

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

  • กำไรสุทธิ 3Q61 ลดลง 38%QoQ และ 54%YoY จากต้นทุนค่าสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น: รายงานกำไรสุทธิ 3Q61 อยู่ที่ 43 ลบ. ลดลง 38%QoQ และ 54%YoY จากต้นทุนค่าสิทธิที่เพิ่มขึ้นราว 20%QoQ และ 38%YoY หลังบริษัทได้ใช้เงินซื้อสิทธิ์คอนเทนต์มาแล้วกว่า 600 ลบ. จากเป้าทั้งปีที่ 800 ลบ. และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นราว 44%QoQ และ 161%YoY โดยหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์สินค้าของบริษัท และค่าใช้จ่ายในการจัดงาน JKN Mega Showcase ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงมาจาก 47% ในช่วง 3Q60 มาอยู่ที่ 34% และอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 28% ในช่วง 3Q60 มาอยู่ที่ 12% สำหรับกำไรสุทธิในงวด 9M61 อยู่ที่ 182 ลบ. เพิ่มขึ้น 3%YoY คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ 225 ลบ.
  • คาด 4Q61 เติบโตโดดเด่นราว 45%QoQ และ 435%YoY จากฐานที่ต่ำใน 4Q60: คาดกำไรสุทธิ 4Q61 ราว 62 ลบ. เติบโต 45%QoQ และ 435%YoY ตามรายได้ที่คาดจะเติบโตราว 7%QoQ และ 37%YoY สู่ 386 ลบ. โดยหลักมาจากยอดขายสิทธิ์คอนเทนต์ที่เพิ่มขึ้น และคาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริการจะลดลงราว 9%QoQ และ 15%YoY เนื่องจากไม่มีการจัดงาน JKN Mega Showcase สำหรับประเด็นความกังวลเรื่องลูกหนี้การค้า บริษัทมีมาตรการที่จะรับเป็นเช็คล่วงหน้าหรือเงินสดวางมัดจำก่อนส่งมอบคอนเทนต์ชุดใหม่ให้กับลูกค้า ทำให้มีเงินสดชำระเข้ามามากในช่วง 4Q61  ทั้งนี้รายการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 6 ล้านบาทในงวด 3Q61 ได้มีการชำระเข้ามาแล้วในเดือนพ.ย.
  • ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61 และ 62 เพิ่มขึ้น 8% และ 7% ตามลำดับ: เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61 เพิ่มขึ้นเป็น 244 ลบ. เพิ่มขึ้น 8% จากเดิมที่ 225 ลบ. จากการปรับคาดการณ์รายได้รวมของบริษัทที่จะทำได้เพิ่มขึ้นจากเดิมราว 4% สู่ 1,444 ลบ. และปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 62 อยู่ที่ราว 342 ลบ. เพิ่มขึ้น 7% จากเดิม 320 ลบ. จากสมมติฐานการเติบโตของรายได้รวมที่ 11% สู่ 1,603 ลบ. จากยอดขายคอนเทนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าใหม่คือช่อง ททบ.5 และต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการ Roadshow ไปถึง 7 ประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมากกว่าการเติบโตของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพียง 4% สู่ 913 ลบ. จากการที่บริษัทลดเงินลงทุนในการซื้อคอนเทนต์ลงจาก 800 ลบ. ในปี 61 เหลือ 600 ลบ. เนื่องจากบริษัทมีคอนเทนต์ในมือเพียงพอต่อการเติบโตแล้ว คาดจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจาก 39% ในปี 61 สู่ 43% และอัตรากำไรสุทธิปรับตัวขึ้นจาก 17% ในปี 61 สู่ 21%
  • เตรียมออกอากาศภายใต้แบรนด์ CNBC เต็มรูปแบบได้ในช่วง 2Q62 : บริษัทได้สิทธิ์ในการผลิตคอนเทนต์รายการข่าวและคอนเทนต์อื่นภายใต้แบรนด์ CNBC ระยะเวลา 10 ปี(ตั้งแต่ปี 2560-2570) รวมถึงทำการตัดต่อ แปลและพากย์เสียงภาษาไทยให้แก่ผู้ประกอบการสถานีโทรทัศน์เพื่อออกอากาศในประเทศไทย โดยได้รับสิทธิ์เป็น ซึ่งจะพร้อมออกอากาศได้ใน 2Q62 ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มผลิตคอนเทนต์รายการ First Class Thailand ป้อนให้แก่ช่อง 3 และ Bright TV ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งบริษัทได้แสดงความสนใจเข้านำเสนอรายการเกี่ยวกับการเงินการลงทุนภายใต้
    แบรนด์ของ CNBC ให้กับตลาดหลักทรัพย์ หลังได้มีการหยุดออกอากาศสถานีโทรทัศน์มันนี่ แชนแนลแล้ว
  • การขายคอนเทนต์ไปยังต่างประเทศเป็นไปได้ด้วยดี : ในส่วนของธุรกิจจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ประเภทซีรี่ส์อินเดียและฟิลิปปินส์ในตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLMV มีอัตราเติบโตที่โดดเด่น หลังจากช่วง 9 เดือนแรกได้เริ่มทยอยส่งมอบลิขสิทธิ์ไปแล้วคิดเป็นมูลค่าไปแล้ว 177 ลบ. จากมูลค่าสัญญาทั้งหมด 240 ลบ. โดยในส่วนที่เหลือจะทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปี อีกทั้งในปี 61 บริษัทได้มีการไป Roadshow ต่างประเทศ 4 ครั้ง ได้แก่ งาน Hong Kong Filmart ในเดือน มี.ค.  งาน Telefilm  ที่ Ho Chi Minh ในเดือน มิ.ย. งานMIP Com ที่เมืองคานส์ ในเดือนต.ค. และงาน ATF ที่สิงคโปร์ในเดือน ธ.ค. สำหรับในปี 62 มีแผนจะ Roadshow ใน 7 ประเทศ เพื่อโปรโมทคอนเทนต์ในมือของบริษัท
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 62 ที่ 15.80 บาท: JKN มีปัจจัยบวกต่อเนื่องจากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ เราประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospect PER ที่  25 เท่า น้อยกว่า PER เฉลี่ยของธุรกิจในกลุ่ม Media ที่ 30 เท่า(คำนวณ เฉลี่ยจากหุ้น TVT RS GRAMMY WORK) ได้ราคาเหมาะสมปี 62 อยู่ที่ 15.80 บาท ทำให้ราคาล่าสุดมี Upside ราว 44% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ปัจจัยสนับสนุน

         1.  สามารถขายคอนเทนต์ไปต่างประเทศได้มากกว่าคาด

         2.  สามารถรักษาและเพิ่มจำนวนยอดขายคอนเทนต์ในประเทศได้

         3.  สามารถเก็บเงินจากลูกค้าได้รวดเร็วขึ้น

ความเสี่ยง

         1. กระแสความนิยมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง

         2. การถูกละเมิดลิขสิทธิ์

         3. เก็บเงินจากลูกหนี้การค้าได้ช้ากว่าคาด