“จาตุรนต์”จัดชุดใหญ่ อัดคสช.เต็มสูบ ชี้ต้องเเก้ศก.โดยเร็ว ระบุเมืองไทยยังมีหวังโดยเปลี่ยนรัฐบาล
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ กล่าวในการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมว่าที่ผู้สมัครและสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ที่เมืองทองธานี เรื่อง“หยุดสืบทอดอำนาจ ไทยรักษาชาติพร้อมนำไทยก้าวทันโลก”ว่า
"ครั้งนี้เป็นการพูดครั้งแรกหลังจากที่รัฐบาลทหารปลดล็อกแล้ว คือ ใน4-5 ปี มานี้ ไม่ได้มีโอกาสพูดแบบไม่ปลดล็อก มีคำถามว่า ปลดล็อกแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ปลดล็อกแล้วพวกเราจะไปพบประชาชน เราจะไปรับฟังปัญหาของประชาชน เราจะไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และเราจะไปบอกประชาชนว่า วันที่ 24 ก.พ.นี้ เป็นวันที่ประชาชนจะกำหนดอนาคตของประเทศ
แต่ว่าในวันนี้ผมจะพูดเรื่องที่เห็นเรื่องหนึ่ง เรื่องที่มีคนตั้งคำถามกันมาตลอด ว่าทำไมรัฐบาลเผด็จการจึงทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ เกิดความเสียหายต่อประชาชน ทำไมประชาธิปไตยจึงจะเป็นประโยชน์ของประชาชน และ รัฐบาลประชาธิปไตยจึงจะทำให้ประชาชนพ้นจากความทุกข์ยากได้
พรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) บอกกับพี่น้องว่า “โลกต้องก้าวไกล ไทยต้องก้าวทัน” แต่ปัจจุบันนี้ “โลกก้าวไกลไปแล้ว แต่ไทยก้าวไม่ทัน” ประเทศไทยเรายังจมอยู่กับการย่ำอยู่กับที่ อยู่กับการถอยหลังกว่าหนึ่งทศวรรษมานี้ เราอยู่กับการยื้อกันระหว่างการที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นประชาธิปไตยกับการที่จะดึงประเทศให้ถอยหลังให้กลับไปเป็นรัฐเผด็จการ กว่า 1 ทศวรรษ มานี้ เราอยู่กับที่และถอยหลัง
เหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยทำให้ประชาชนอิ่มท้องและมีรายได้ แต่จากการรัฐประหาร ปี 2549 ถึงรัฐประหาร ปี 2557 และความต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ได้เกิดกระบวนการที่จะฉุดรั้งประเทศไทยให้ถอยหลังกลับไปฉุดรั้งประชาธิไตย ระบอบที่ให้ประชาชนเลือกรัฐบาลของตนเอง เพื่อตอบสนองความต้องการและผลประโยชน์ของประชาชน
ในหลายปีมานี้ ได้มีความพยายามสถาปนาการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ โดยรัฐบาลทหาร ในขณะที่โลกก้าวไปข้างหน้า ด้วยการกระจายอำนาจ ด้วยการขยายอำนาจเพิ่มอำนาจให้กับประชาชนเรามาอยู่ในระบบการปกครองที่ถอยหลังไปไม่น้อยกว่า 40-50 ปี ประเทศไทยอยู่ในสภาพที่นานาชาติไม่ยอมรับ เราเป็นเพียง 1 ใน 2 ประเทศ ที่ปกครองด้วยรัฐบาลทหาร เราถูกปกครองโดยผู้นำที่ขาดความรู้ ประสบการณ์ ไม่มีวุฒิภาวะ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม ไม่สามารถตรวจสอบการบริหารประเทศได้ ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพ แม้แต่จะเสนอความคิดเห็น หรือสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
สภาพการปกครองแบบนี้ กำลังถูกวางแผนให้มีการสืบทอดอำนาจต่อไป สภาพการปกครองแบบนี้ทำให้เกิดปัญหาอะไรกับประเทศนี้ ทั้งในทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง?
· ประเทศไทยเรามีปัญหายาเสพติดหนักหน่วงรุนแรง ยาเสพติดแพร่ระบาดในหมู่บ้านและชุมชน 24,282 แห่ง คิดเป็น 30% ของหมู่บ้านทั้งประเทศ 40% ของผู้ติดยาเสพติด เป็นเยาวชน อายุไม่เกิน 24 ปี เกือบ 75% เป็นผู้มีอาชีพรับจ้าง แรงงาน และเกษตรกร
· ประเทศไทยมีปัญหาคอร์รัปชั่นในทุกระดับ ข้ออ้างขอ คสช.ในการยึดอำนาจคือต้องการ เข้ามาแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น รัฐธรรมนูญฉบับนี้บอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ผ่านไป 5 ปี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ปัญหาคอร์รัปชั่นในปี 2561 สูงขึ้น 61% ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 2 แสนล้านบาท
องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ สำราจพบว่า คนไทย 41% ของประเทศจำใจต้องจ่ายสินบน และปัญหาคอร์รัปชั่นกระทบคนจนมากกว่าคนรวย
· การศึกษา เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ แต่การศึกษาของประเทศนี้ยังอยู่ที่การท่องจำมากกว่าการที่จะให้คนคิดวิเคราะห์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับการเรียนรู้ในโลกสมัยใหม่ เรากำลังผลิตคนออกไปเพื่อตกงาน ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจใหม่ๆกำลังจะเกิดขึ้น อาชีพกำลังจะเกิดขึ้น แต่เราไม่สามารถผลิตคนเพื่อไปมีอาชีพเหล่านั้นได้ เหมือนดังคะแนน PISA ที่ไทยอยู่ต่ำสุด
· ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากร เรากำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัย ในขณะที่คนไทยยังไม่รวย หมายความว่า ผู้สูงวัยในอนาคตอันใกล้นี้ซึ่งมีจำนวนมาก จะต้องการสวัสดิการที่ดี ต้องการการดูแลที่ดี ในขณะที่คนรุ่นใหม่ คนในวัยทำงานทั้งหลายในเวลานี้ จะต้องไปแบกภาระในอนาคตอย่างมาก สังคมไทยยังไม่มีการเตรียมพร้อมสำหรับการจะรับมือเรื่องเหล่านี้
เหล่านี้ เป็นปัญหาทางสังคมที่ผมพูดโดยย่นย่อเพื่อให้เห็นว่า การบริหารประเทศใน 4-5 ปี มานี้ ไม่ได้สามารถดูแลปัญหาสังคมที่สำคัญๆเหล่านี้ได้ แต่เรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศให้ความสนใจมากที่สุด คือ “ปัญหาเศรษฐกิจ”
จากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เราสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า จากการที่มีการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จากการที่มีผู้นำที่ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ ขาดประสบการณ์ และบริหารประเทศด้วยระบบอำนาจนิยม ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร?
เราได้ยินตัวเลข GDP ว่า เศรษฐกิจของประเทศโทรมขึ้นและตกต่ำสุดอยู่เสมอๆ แต่ความจริงแล้ว เราเหมือนกำลังอยู่ในกะลาแลนด์ คือไม่ได้รับรู้ว่าประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างไร ประเทศอื่นเขาเป็นอย่างไร?
ใน 4 ปี มานี้ เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตน้อยที่สุด ช้าที่สุด ในอาเซียน 10 ประเทศ ยกเว้น บรูไน เพียงประเทศไทย คสช.กับพวก พูดถึงการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง มาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งแล้ว หลังจากนั้นพูดถึงการปฏิรูปประเทศมาตลอด 4-5 ปี ไม่ปรากฎว่ามีการปฏิรูปประเทศในเรื่องอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันแม้แต่เรื่องเดียว แต่ว่าเรื่องขีดความสามารถของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ที่ประเทศไทยที่อยู่บนโลกนี้ เวทีโลกนี้อย่างไร ความสามารถในการแข่งขันของประเทศย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้พัฒนา ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น ทำไมเศรษฐกิจไม่เกิดการหมุนเวียน-ไม่เกิดการใช้จ่าย? โครงการขนาดใหญ่ล่าช้า ท่านทั้งหลายทราบว่า รัฐบาลที่แล้วมีโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงและจะพัฒนาระบบคมนาคมทั่วประเทศ เราได้ยินตัวเลข 2 ล้านล้านบาท(สมัยรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์) โครงการนั้นต้องหยุดชะงักไปล้มไป ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ประเทศนี้จะต้องทำถนนลูกรังทั่วประเทศให้เป็นถนนลาดยางเสียก่อน ต่อมาเราได้ยินโครงการรถไฟความเร็วสูง ตัวเลข 3 ล้านล้านบาท ผ่านไปแล้วเกือบ 5 ปี ปรากฎว่า 3 กิโลเมตร ยังไม่เสร็จเลย
เรื่องนี้ทำให้ ไม่มีการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจประเทศไทยอยู่มาได้ใน 4-5 ปี มานี้ ทำสำคัญอย่างหนึ่ง คือ อาศัยการท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวดีเพราะว่า ธรรมชาติสวยงาม วัฒนธรรมดี คนให้การบริหารดี การท่องเที่ยวก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ว่าจากการที่บริหารจัดการที่ไม่ดีเพียงพอ ความปลอดภัยไม่ดี ความพร้อมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆไม่พร้อม และที่สำคัญก็คือ ขณะที่ยอดของนักท่องเที่ยวกำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจ แต่เพราะการขาดวุฒิภาวะของผู้นำ จากการที่ผู้นำมีความคิดแบบอำนาจนิยม ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน การพูดเพียงไม่กี่คำของรองนายกรัฐมนตรี(พล.อ.ประวิตร) ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวตกลงอย่างมาก และยังฟื้นกลับคืนมาไม่ได้ จนถึงทุกวันนี้
เราพูดถึงเศรษฐกิจที่โตขึ้น เราได้ยินตัวเลขว่าเศรษฐกิจโตขึ้น แต่คนทำมาค้าขาย คนทำมาหากิน ประชาชนไปทั่วไป บอกว่า ยากจนลง ไม่มีรายได้ ไม่มีเงินในกระเป๋า ปัญหาที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย จึงอยู่ในสภาพที่ คนเรียกกันจนติดปากแล้วว่า “รวยกระจุก จนกระจาย”
ทำไมจึงเกิดภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” และภาวะนี้เกิดขึ้นมาอย่างไร
ถ้าเราไปดูบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ จะพบว่า โตด้วยอัตราเร็วที่สูงมาก สูงกว่า GDP ของประเทศ กำไรของบริษัทในตลาดหุ้นสูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ เมื่อปี 2016 GDP โต 3.3% กำไรของบริษัทจดทะเบียนโต 30% ปี 2017 GDP โต 3.9% กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโต 9% และ 9 เดือนแรก ของปี 2018 GDP ขยายตัว 4.3% แต่กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโต 19% และเราไปดูภาคธนาคาร ภาคส่งออกบางส่วน ก็จะพบตัวเลขคล้ายๆกันนี้
หมายความว่า ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง คนทำงานค้าขายตามห้องแถว ตามตลาด ทั้งหลายรายได้เขาไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือรายได้เขาน้อยลง และเราก็จะเห็นว่า หนี้ครัวเรือนขยายตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้ 12.34 ล้านล้านบาท นี้คือ “สภาพรวยกระจุก จนกระจาย” จึงเป็นอย่างนี้
ภาพสะท้อนที่สำคัญคือ ตัวเลขความเหลื่อมล้ำ(wealth gap) ที่ปัจจุบัน 2561 ประเทศไทยเป็นอันดับ1ของโลก แซงหน้ารัสเซีย และ ตุรกี
ปี 2559 คนไทย1% ที่ร่ำรวย มีทรัพย์สินรวม 58%ของทรัพย์สินรวมทั้งประเทศ
ปี 2561 คนไทย 1% ที่ร่ำรวย มีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 66.9%
“สภาพรวยกระจุก จนกระจาย” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจไทยนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นเพราะการบริหารที่ผิดพลาด นโยบายที่ผิดพลาด ของรัฐบาล คสช.
ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น? นโยบายของรัฐบาลนี้เขามุ่งไปที่การเอื้อทุนขนาดใหญ่ ด้วยข้ออ้างว่า การเอื้อทุนขนาดใหญ่จะมีผลกระทบถึงคนระดับล่าง แต่มันเกิดสภาพที่ ไม่ดูแลประชาชนทั่วไป เอาใจใส่แต่พวกพ้อง ท่านทั้งหลายอ่านหนังสือพิมพ์ติดตามข่าว จะพบว่า วันดีคืนดี รัฐบาลยกโครงการขนาดใหญ่ให้ทุนใหญ่ทำตามอำเภอใจ เมื่อเร็วๆ นี้มีการออกกฎหมายเพื่อจะเก็บภาษี E-Commerce ของธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งๆ ที่ปล่อยให้เค้าเติบโตมาตามยถากรรมมานาน แต่ก่อนหน้านั้นไม่นาน รัฐบาลนี้ได้ตกลงที่จะยกเว้นภาษีให้กับ E-Commerce ขนาดใหญ่ โดยไม่มีเงื่อนไข
รัฐบาลนี้ ใช่นโยบายการคลังที่ไม่มีประสิทธิผล งบประมาณที่ขาดดุลมหาศาลนั้น ไม่ได้ใช้ไปและทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ เกิดการลงทุน งบประมาณกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นสูงมากเป็นประวัติการณ์ใน 4-5 ปี นี้ มากกว่างบประมาณโดยรวม
ในขณะที่งบประมาณด้านสาธารสุขขาดแคลน เราจึงมึเรือดำน้ำ ในขณะที่คนล้นโรงพยาบาล เข้าคิวรอคิวกันทุกวัน รอคิวผ่าตัดใหญ่ๆใช้เวลาหลายเดือน เพราะไม่มีเตียง ไม่มีห้องหรือไม่มีหมอ ก็เพราะว่า ใช้นโยบายการคลังที่ไม่มีประสิทธิผล ตัวอย่างของโครงการที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนมากที่สุดของการเอื้อทุนขนาดใหญ่และไม่สนใจประชาชน คือ “โครงการประเภทแจกเงินเจ้าสัวผ่านมือคนจน” โครงการพวกนี้คือ เที่ยวช่วยชาติ ช๊อปเพื่อชาติ ร้านประชารัฐ” ต่อไปจะมี “แต๊ะเอี๋ย” เหล่านี้ คือ การกระตุ้นให้มีรายได้ปานกลาง หรือคนที่ไม่ค่อยจะมีเงินอยู่แล้ว ไปเที่ยวกันมากๆ เที่ยวมากๆแล้วเงินไปไหน? เงินไปโรงแรมขนาดใหญ่ , ซื้อของมากๆแล้ว เงินไปไหน? เงินไปห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ,แตะเอี๋ยยอกว่าให้ไปคืนเอาภาษีมูลค่าเพิ่ม ร้านค้าตามห้องแถว ร้านค้าตามตลาดสด มีที่ไหนคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ก็ห้างขนาดใหญ่ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น โครงการแบบนี้สะท้อนให้เห็น และเราไม่แปลกใจที่เห็นภาพ เจ้าสัวจับมือยืนถ่ายรูปกับรัฐมนตรีทั้งหลายกลางทำเนียบ นี้เป็นการร่วมมือกัน ด้วยข้ออ้างว่า ช่วยทุนขนาดใหญ่ ช่วยคนระดับสูงก่อน แล้วมันจะมีผลไปถึงคนระดับล่าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลับกัน คือ การดูดเอารายได้จากคนในระดับกลาง ระดับล่าง ขึ้นไปให้ระดับสูง
ทั้งหมดนี้มีทางออกทางเดียว เพราะเรารู้แล้วว่าปัญหาทั้งหมดมาจากไหน แต่ในวันนี้ผมจะยังขออนุญาตไม่พูดถึงนโยบาย ยังไม่ถึงเวลาด้วย และอีกอย่างหนึ่งบอกตรงๆครับ “กลับคนก็อปปี้”
ผมอยู่ในรัฐบาลไทยรักไทย ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย เพราะฉะนั้นใน 4 ปี มานี้ มีคนก็อปปี้นโยบายของพรรคไทยรักไทยอย่างไร ผมรู้ดีที่สุด ในวันนี้ผมจะขอพูดเพียงแนวทางและทิศทางใหญ่ๆ เพราะถ้าเราจะแก้ปัญหาของเศรษฐกิจของประเทศนี้ จะต้องมีแนวทางมีทิศทาง
ลำดับแรกสุด เราจะทำสิ่งที่รัฐบาลเผด็จการทำไมได้ คือ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้มีการลงทุนมากขึ้น ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ เรื่องนี้ รัฐบาล คสช.ไม่มีทางทำได้ แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งมาแล้ว แต่ความคุ้นเคยและสิ่งที่อยู่ในจิตสำนึกของ คสช.ไม่มีทางที่จะไปสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศ
เราจะเปลี่ยนแนวคิดในการบริหารประเทศ ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จากการที่ใช้ความคิดแบบรัฐบาลอำนาจนิยม รวบอำนาจ มาเป็นรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ที่ฟังความเห็นประชาชน คำนึงถึงความต้องการของประชาชน เรื่องนี้เราจะเปลี่ยนความคิด พล.อ.ประยุทธ์ และพวกไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนได้ คือ “ต้องเปลี่ยนรัฐบาล”
เราจะเปลี่ยนแนวความคิดจากการบริหารประเทศที่เอื้อทุนขนาดใหญ่ เอื้อต่อคนระดับสูง แล้วอ้างว่าจะมีผลต่อคนระดับล่าง เราจะเปลี่ยนใหม่ “เป็นการดูแลทั้งระบบ แต่ให้ความสำคัญจากระดับล่างขึ้นมาระดับกลางและระดับบน เราจะเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้ทุกคนอย่างทั่วถึง การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมจะเกิดขึ้น รัฐบาลจะต้องส่งเสริมให้ผู้คนที่หลากหลาย ธุรกิจทุกระดับ คนทำมาค้าขายทั้งหลาย เข้าถึงแหล่งทุน มีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ๆ ทำมาค้าขายได้ เริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆในเศรษฐกิจปัจจุบัน
สิ่งหนึ่งที่พรรคไทยรักษาชาติเน้น และให้ความสำคัญ คือ การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆให้เป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมเศรษญกิจแบบดิจิทัล การส่งเสริมนวัตกรรม การส่งเสริมเศรษฐกิจที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ ภายใต้สภาวะประชาธิปไตย โดยรัฐบาลประชาธิปไตย ประเทศไทยจะต้องไม่ตกขบวนจากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่นี้ ประะเทศไทยจะต้องได้ประโยชน์จากการพัฒนานี้
มีผู้คนจำนวนมากพูดถึงเทคโนโลยี แต่ปัญหาที่เราจะต้องตอบ สิ่งที่เราจะต้องทำให้เกิดขึ้นในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบใหม่นี้ ก็คือ เราจะดูแลโครงสร้างพื้นฐาน เราะจะดูแลกฎระเบียบต่างๆ ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิจใหม่นี้ เอื้ออำนวยต่อการสร้างเศรษฐกิจแบบใหม่ เราจะพัฒนาเตรียมความพร้อมของบุคลากร เพื่อให้มีความพร้อมที่จะเข้าร่วมในระบบเศรษฐกิจแบบใหม่
ผมได้พูดถึงปัญหาของประเทศนี้ ที่เกิดจากการปกครองในระบอบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การบริหารที่รวมศูนย์ การบริหารที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วม และไม่เคยคำนึงถึงความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน ผมได้พูดถึงทางออกทางแก้
การที่ประเทศไทยมีปัญหาแบบนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใครๆเขาก็เป็นกันอย่างนี้ ประเทศอื่นเขาโตเร็วมาก และเศรษฐกิจของอีกหลายๆประเทศ ไม่ได้รวยกระจุก จนกระจาย ที่ประเทศเรามีปัญหาอย่างนี้ เพราะเรามีรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิไตย รัฐบาลที่บริหารไม่เป็น รัฐบาลที่บริหารเพื่อพวกพ้องใกล้ชิด ไม่สนใจประชาชน
ผมไปพบกับพี่น้องประชาชนทั่วทั้งประเทศ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เดือดร้อนเหลือเกิน ทำมาค้าขายไม่ได้ ไม่มีรายได้ ไม่มีเงินในกระเป๋าแล้ว จะอดตายกันอยู่แล้ว คำถามที่เราจะต้องถามถึงสังคมไทย ถึงประชาชนทั่งประเทศ? แล้วเราจะทนต่อไปอีกหรือไม่? เมื่อรัฐบาลที่บริหารประเทศ และได้ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทำให้ประชาชนเสียหาย ติดต่อกันมา 5 ปี ต้องการจะสืบทอดอำนาจต่อไป ประชาชนอยากยอมหรือไม่?
เราต้องหยุดการสืบทอดอำนาจของ คสช. ถ้าจะแก้ปัญหาประเทศนี้ ต้องมีรัฐบาลที่มาจากประชาชน ที่ต้องสนองความต้องการของประชาชน และแก้ปัญหาของประชาชน ต้องมีรัฐบาลประชาธิปไตยที่แก้ปัญหาปากท้องของคนส่วนใหญ่ เพื่อทำให้คนทุกคน สามารถจะทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเอง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ต้องให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าทันสมัยในยัคเทคโนโลยีก้าวกระโดด
พรรคไทยรักษาชาติ เรามีความพร้อม เราได้รวบรวมเอาผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ เข้ามาอยู่ในพรรคนี้ เรามีคนรุ่นใหม่ คนมีวิสัยทัศน์ ผู้คนที่หลากหลาย ที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหาประเทศร่วมกัน เรามั่นใจว่า จากความรู้ประสบการณ์ ความมีวิสัยทัศน์ ความตั้งใจที่จะแก้ปัญหา เราจะสามารถทำนโยบายที่แก้ปัญหาประเทศได้ และเราจะใช้ประสบการณ์ของบุคลากรในพรรคทำให้นโยบายปรากฎผลเป็นจริงอย่างที่เคยทำมาแล้ว
“ปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดมีทางออก ถ้าเราร่วมือกับประชาชน หยุดการสืบทอดอำนาจ สร้างรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยขึ้นมาแก้ปัญหาประเทศ
“ประเทศนี้ยังมีความหวัง”