หุ้นกลุ่มแบงก์วูบฉุดดาวโจนส์ดิ่งเกือบ800จุด
ท่ามกลางความวิตกกังวลของนักลงทุนกรณีตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอยและตลาดยังถูกกดดันจากความไม่มั่นใจต่อผลการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดวันอังคาร (4ธ.ค.)ตามเวลาสหรัฐ ทรุดลง 799.36 จุดหรือ 3.1 % ปิดที่ 25,027.07 ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 90.31 จุดหรือ 3.24% ปิดที่ 2,700.06 จุดและดัชนีแนสแด็กลบ 283.09 จุดหรือ 3.8% ปิดที่ 7,158.43 จุด
หุ้นกลุ่มธนาคารทรุดตัวนำตลาดในวันนี้
ทั้งนี้ นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว และมักบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะตามมา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.795% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.777%
ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.896% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.143%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับตัวค่อนข้างมีเสถียรภาพในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และเจ้าหน้าที่เฟดทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยกำหนดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว โดยนักลงทุนจะทำการคาดการณ์ว่าพวกเขาควรจะได้รับการชดเชยมากกว่าเงินเฟ้อเท่าใดในการถือครองพันธบัตรเป็นเวลาหลายปี
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่มีข่าวว่า นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้าฝ่ายสหรัฐ โดยนายไลท์ไฮเซอร์ ถือเป็นผู้ที่มีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อจีน
ทั้งนี้ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ และปธน.สี จิ้นผิงของจีน เห็นพ้องให้เลื่อนกำหนดเวลาที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อการนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ออกไปอีก 90 วัน จากกำหนดเดิมในวันที่ 1 ม.ค.2562 เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจายุติข้อพิพาทการค้าระหว่างกัน
ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ ก็ทวีตข้อความในวันนี้ ขู่ว่า เขาจะสั่งเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากจีน หากความพยายามในการทำข้อตกลงกับจีนประสบความล้มเหลว