บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘ทรงตัว’ ที่ 33.05 บาทต่อดอลลาร์

บาท’ เปิดตลาดเช้านี้ ‘ทรงตัว’ ที่ 33.05 บาทต่อดอลลาร์

ทิศทางของตลาดระยะสั้นมาจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวจากข่าวข้อตกลงระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปช่วยหนุนเงินยูโรแข็งค่าขึ้น ตลาดทุนยังต้องระวังแรงเทขายสกุลเงินเอเชียรอบใหม่ หากเจรจาการค้าจีนและสหรัฐไม่สำเร็จ

ฝนายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ที่ระดับ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงสิ้นสัปดาห์ก่อนหน้า

ในสัปดาห์นี้ ค่าเงินบาทจะยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากตัวเลขเศรษฐกิจมากนัก ทิศทางของตลาดระยะสั้นจะเกิดจากค่าเงินดอลลาร์ที่อาจอ่อนตัวจากข่าวข้อตกลงระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปที่จะช่วยหนุนให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนที่ยังอยู่ในภาวะระมัดระวังก็ยังคงเป็นปัจจัยหนุนให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เป็นหลัก เช่นเดียวกันกับความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ถ้าไม่เกิดขึ้นก็อาจมีแรงเทขายสกุลเงินเอเชียรอบใหม่กลับมากดดันค่าเงินบาทได้เช่นกัน

มองกรอบเงินบาทระหว่างวัน 33.00 - 33.10 บาทต่อดอลลาร์และกรอบเงินบาทในสัปดาห์นี้ 32.75-33.25 บาทต่อดอลลาร์

ในสัปดาห์นี้แนะนำจับตาเงินเฟ้อในสหรัฐและยุโรป พร้อมกับความคืบหน้าการเจรจาการค้าในการประชุม G20 วันพฤหัส เงินเฟ้อในสหรัฐ (PCE Inflation) คาดว่าจะปรับตัวขึ้น 0.12% จากเดือนก่อน หรือคิดเป็น 1.82% จากปีที่ผ่านมา โดยจุดเด่นของเงินเฟ้อสหรัฐมาจากทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ปรับตัวขึ้น 0.5% ในช่วงเดือนตุลาคม

วันศุกร์ รายงานเงินเฟ้อพื้นฐานในยุโรป (Euro area Core CPI) คาดว่าจะปรับตัวขึ้น 0.97% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าในเยอรมัน สเปน และฝรั่งเศสที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เงินเฟ้อในอิตาลีไม่ฟื้นตัว

วันศุกร์ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมของจีน (NBS Composite Index) จะอยู่ที่ระดับ 50.2จุด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อน โดยตลาดมองว่านโยบายช่วยเหลือจากภาครัฐ เพียงพอที่จะทำให้ผู้ประกอบการในจีนมั่นใจที่จะทำธุรกิจต่อ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรงคือความผันผวนสำหรับกับการวางแผนลงทุนช่วงนี้

วันศุกร์ การประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ คาดว่าจะ “ขึ้นดอกเบี้ย” จากระดับ 1.50% ไปที่ระดับ 1.75% ด้วยผลโหวดสี่ในหกเสียง โดยธนาคารกลางใช้การรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจและภาคการเงินเป็นเหตุผลใหญ่ในการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ จุดที่คณะกรรมการกังวลคือความต่างระหว่างดอกเบี้ยในประเทศกับดอกเบี้ยของสหรัฐที่สูงเกินไปจะส่งผลให้เกิดความผันผวนกับค่าเงินมากกว่าที่ควรเป็น

ปัจจัยที่น่าติดตามที่สุดในสัปดาห์นี้นอกจากตัวเลขเศรษฐกิจ คือการประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในกลุ่มG20 เพื่อเตรียมพร้อมรับการประชุมของกลุ่มผู้นำในช่วงปลายสัปดาห์ เราคาดว่าจะมีการคุยเรื่องการค้าเป็นหลัก โดยเขตการค้าในทวีปอเมริกามีโอกาสเกิดที่จะขึ้นได้มากที่สุด ขณะที่การเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนจะเป็นสิ่งที่ทางตลาดการเงินจับตามองมากที่สุด

นักบริหารเงินธนาคารทหารไทย  เปิดเผยว่า ตลาดโดยรวมยังคงไม่กล้าที่จะเปิดรับความเสี่ยงเต็มที่ เนื่องจากความกังวลแนวโน้มการชะลอของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งความเสี่ยงสงครามการค้ายังคงกดดันตลาดอยู่  

อย่างไรก็ดี สินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากความกังวลดังกล่าวคือ ค่าเงินดอลลาร์  โดยค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์(DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 96.8 อีกครั้ง   

มองเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในกรอบกว้าง 32.80-33.20 บาทต่อดอลลาร์ได้สัปดาห์หน้า ที่สำคัญจะต้องจับตาความผันผวนในตลาดการเงินที่อาจยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ ซึ่งตลาดอาจจะกลับมาผันผวนมากขึ้นหากตัวเลขเศรษฐกิจจีนออกมาแย่กว่าคาด 

รวมทั้งหากการเจรจาการค้าจีนกับสหรัฐฯไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้แนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยก็สามารถกระทบแนวโน้มค่าเงินบาทได้เช่นกัน  

มองเงินบาทวันนี้มีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในช่วงกรอบ 32.95-33.10บาทต่อดอลลาร์