การเติบโตของเศรษฐกิจจะพึ่งพาภายในมากขึ้น

GDP 3Q18 ของไทย +3.3% Y-Y ต่ำกว่า Consensus คาดการณ์มาก และเป็นอัตราต่ำที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส สาเหตุหลักมาจากการส่งออกสินค้าและบริการ -0.1% Y-Y (การลดลงของรายได้ท่องเที่ยว การส่งออกข้าว ยางพารา ทองคำ และสินค้าที่ถูกตั้งกำแพงภาษีเช่นเครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์เซลล์) ขณะที่นำเข้า +10.7% Y-Y ส่งผลให้ “ส่งออกสุทธิ” ที่เคยเป็นพระเอกติดต่อกันหลายปี แผ่วลงมาก เราคาดว่า GDP 3Q18 จะเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ และฟื้นตัวใน 4Q18 ซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่าย ฤดูท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเช่นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการ (วงเงิน 1 แสนล้านบาทแต่ใช้จ่ายใน 4Q18 4 หมื่นล้านบาท) ทั้งนี้ GDP 9M18 +4.3% Y-Y สภาพัฒน์ฯ คาดทั้งปีโต 4.2% สะท้อนว่า 4Q18 น่าจะขยายตัวราว 3.9% Y-Y   

พระเอกในไตรมาสนี้เป็นการจับจ่ายใช้สอยของภาคเอกชนที่ +5.0% Y-Y เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 ใน 2Q18 แต่ยังกระจุกตัวที่การใช้จ่ายในสินค้าคงทน (การซื้อรถและมอเตอร์ไซค์ +12.5% Y-Y) ซึ่งยังต้องพึ่งพาผู้มีรายได้สูง ส่วนการใช้จ่ายสินค้าไม่คงทนลดลง แต่ไม่น่ากังวลเพราะส่วนใหญ่เป็นการลดลงของสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาสูบซึ่งมีฐานสูงในปีก่อน เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาเพื่อให้การฟื้น กระจายกว่านี้ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและไม่ควรเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เราชอบ CPALL, ROBINS

สัญญาณการลงทุนภาคเอกชนค่อยๆเร่งตัวขึ้น +3.9% Y-Y จาก 2Q18 ที่ +3.2% Y-Y โดยเฉพาะภาคการก่อสร้างซึ่งขยายตัวดีทั้งการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและไม่ใช่ที่อยู่อาศัย (โรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผลจาก EEC) หุ้นที่ได้อานิสงส์จากการลงทุนได้แก่ CK, STEC, AMATA, WHA, KBANK, BBL     

การเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไปต้องพึ่งพาการเติบโตจากภายในประเทศมากขึ้น เพราะความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอในปีหน้าจากผลกระทบของการกีดกันทางการค้า และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนเริ่มท้าทายมากขึ้นท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอและเงินหยวนอ่อนค่า สำหรับ GDP 3Q18 ที่ต่ำกว่าคาดอาจเปิดโอกาสมากขึ้นที่ กนง. จะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค. อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก การประชุม กนง. ปีหน้าเริ่มที่วันที่ 6 ก.พ. เราคิดว่าการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปอีก 2 เดือนไม่มีผล