ศาลจังหวัดสมุทรปราการ พิพากษาจำคุก 4 ปี "สองสาวพลเรือน-อดีตอัยการ สคช.สระบุรี" ผิดนำเข้าของต้องห้ามเลี่ยงศุลกากร ผ่านสุวรรณภูมิปี 60 ขณะที่ได้ประกันคนละ 2 แสน รอสู้คดีชั้นอุทธรณ์
ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ศาลมีคำพิพากษาคดีลักลอบขนนอแรด หมายเลขดำ อ.3682/2560 ที่พนักงานอัยการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางฐิติรัตน์ อาราอิ , น.ส.กานต์สินี อนุตรานุศาสตร์ และ นายวรภาส หรือพ.ต.ต.วรภาส บุญศรี อดีตรองอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสระบุรี เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันพา หรือนำของต้องจำกัดหรือของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใดๆในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรฯ , ร่วมกันนำเข้ามาในาชอาณาจักรซึ่งซสกสัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันนำซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร
โดยกรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 10 มี.ค.60 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ และเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำด่านตรวจอาคารผู้โดยสาร ตรวจค้นกระเป๋าต้องสงสัยพบนอแรด 21 นอ หนัก 49.4กิโลกรัม มูลค่า 49,400,000 บาทเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ที่จำเลยทั้งสามอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนส่งให้อัยการจังหวัดสมุทรปราการสั่งคดี โดยอัยการได้สั่งฟ้องทั้งสามตามความผิด พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 , พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 , พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และยื่นฟ้องต่อศาบจังหวัดสมุทรปราการเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.60
โดย "ศาลจังหวัดสมุทรปราการ" พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า จำเลยทั้งสามมีพฤติการณ์กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง จึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 7 , พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง , พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 มาตรา 31,68 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ ฐานร่วมกันพา หรือนำของต้องจำกัดหรือของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใดๆในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรฯ ซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุก จำเลยที่ 1-3 คนละ 4 ปี โดยไม่รอการลงโทษ ส่วนที่อัยการโจทก์ ขอให้นับโทษของ "นางฐิติรัตน์" จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดง 3380/2560 ของศาลจังหวัดอุดรธานีนั้น เมื่อปรากฏความว่า ในคดีดังกล่าวศาลพิพากษาจำคุก 2 ปีและปรับ 40,000 บาท "นางฐิติรัตน์" ไว้โดยโทษจำคุกนั้นศาลรอการลงโทษไว้กำหนด 3 ปีภายหลังที่จำเลยกระทำผิดคดีที่ฟ้องนี้ จึงไม่อาจนับโทษต่อและไม่อาจบวกโทษคดีดังกล่าวกับคดีในวันนี้ได้ด้วย
อย่างไรก็ดีภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 1-3 ได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์สู้คดี โดยศาลพิจารณาแล้วก็อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสามระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกันคนละ 200,000 บาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุวันที่ 16 มี.ค.60 อัยการสูงสุดขณะนั้นได้ตั้ง "นายประณต ผ่องแผ้ว" ผู้ตรวจการอัยการ ขณะนั้นเป็น ประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งได้ทำการสอบข้อเท็จจริงเสร็จพร้อมส่งความเห็นไปยังอัยการสูงสุดว่า พ.ต.ต.วรภาส มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะกระทำการผิดวินัยและสมควรตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย โดยนะหว่าง พ.ต.ต.วรภาส ก็ถูกย้ายมาเป็น อัยการประจำสำนักงานคดีแพ่งกรุงเทพใต้ 3 ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.60 ซึ่งภายหลังก็มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยและสั่งพักราชการ พ.ต.ต.วรภาส ไว้ก่อนจนมีการฟ้องคดีดังกล่าว
โดยหลังจากนี้มีคดีมีคำพิพากษาแล้ว ก็เป็นไปได้ที่ฝ่ายคณะกรรมการอัยการ หรือ ก.อ. ที่ดูแลการลงโทษอัยการ จะขอคัดคำพิพากษาคดีที่ลงโทษอัยการดังกล่าวมาพิจารณาถึงบทลงโทษทางวินัยต่อไปหรือไม่