ดีเอสไอเผยสอบคดี “เอิร์ธ” ปลอมใบขนถ่านหินกู้เงินกรุงไทยฯกว่าเสร็จแล้ว รอแค่หลักฐานใบขนจากต่างประเทศ ส่วนประเด็นสร้างหนี้เทียม แนะประสานปปง.ใช้อำนาจก.ม.ฟอกเงินอายัดทรัพย์
เมื่อวันที่ 16 พ.ย.61 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงษ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ประสานมายังดีเอสไอเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษเพิ่มเติมกับผู้บริษัทและอดีตกรรมการบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด(มหาชน) รวม 17 ราย ภายหลังศาลล้มละลายกลางไม่รับแผนฟื้นฟูกิจการที่บริษัท เอิร์ธฯ ยื่นคำร้อง ก.ล.ต.จึงขอให้ดีเอสไออายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด โดยรายละเอียดเป็นการประสานงานระหว่างกองคดีการเงินการธนาคารกับ ก.ล.ต. อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ดีเอสไอได้สอบสวนคดีกี่ยวกับการกระทำความผิดของบริษัท เอิร์ธฯร้องทุกข์กล่าวโทษเมื่อเดือน มิ.ย.61 โดยหลักฐานในประเทศได้สอบสวนครบถ้วนหมดแล้ว เหลือเพียงพยานหลักฐานในต่างประเทศ เช่นใบขนสินค้า ซึ่งต้องมีการยืนยันจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศต้นทางว่ามีการขนสินค้ามาจริงหรือไม่ โดยอัยการฝ่ายต่างประเทศเป็นผู้ประสานงานกลางไปยังประเทศอินโดนีเซีย
รายงานข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า ในที่ประชุมระหว่างดีเอสไอกับก.ล.ต.มีข้อแนะนำให้ก.ล.ต.ร้องทุกข์ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เพื่อใช้อำนาจตามกฎหมายฟอกเงินอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวพันกับการกระทำความผิด เนื่องจากธุรกรรมการเงินยังเชื่อมโยงไปไม่ถึงทรัพย์สิน จึงควรใช้อำนาจของปปง.ที่สามารถสั่งอายัดแล้วให้ผู้ถูกอายัดมีหน้าต้องชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผลสอบสวนความผิดทางวินัยกลุ่มผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัท เอิร์ธฯ นั้น ธนาคารกรุงไทยยังไม่จัดส่งข้อมูลมาให้ดีเอสไอ
สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องจากธนาคารกรุงไทย ตรวจสอบพบหลักฐานเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารการส่งสินค้าทางเรือเพื่อนำเข้าถ่านหินจากประเทศอินโดนีเซีย โดยมีการนำใบขนถ่านหินปลอมมาขออนุมัติสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทยกว่า 12,000 ล้านบาท และผิดนัดชำระหนี้จนต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูของศาลล้มละลายกลาง ต่อมายังพบพิรุธสงสัยว่าอาจมีการสร้างเจ้าหนี้เทียมเพื่อขอรับชำระหนี้คืน จนอาจเป็นเหตุให้ธนาคารกรุงไทยและผู้เสียหายที่แท้จริงได้รับการเฉลี่ยหนี้คืนไม่เต็มจำนวน