'หญิงหน่อย' เผยพร้อมเป็นนายกฯ ยืนยันไม่ขัดแย้งคนที่ย้ายจากพท.

'หญิงหน่อย' เผยพร้อมเป็นนายกฯ ยืนยันไม่ขัดแย้งคนที่ย้ายจากพท.

“หญิงหน่อย” เผยพร้อมเป็นนายกฯ ยืนยันไม่ขัดแย้งคนที่ย้ายจากพท. พร้อมจับมือกับพรรคที่เเตกหน่อตั้งรัฐบาล

เมื่อวันที่ 12 พ.ย.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหัวค่ำวานนี้ (11พ.ย.) คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวในรายการ Suthichai Live : การเมืองเรื่องเลือกตั้ง!ว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้เเตกพรรค ไม่มีพรรคสาขา พรรคเพื่อไทยเดินหน้าพรรคเดียวและไม่รู้เห็นเป็นใจ และพรรคอื่นๆก็มีการแยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ เพราะพรรคดำเนินกิจกรรมสู่การเลือกตั้งและทำให้ดีที่สุด

“พรรคใหม่ที่เกิดขึ้นเยอะ ไม่ใช่มีแค่อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทยไปทำ เพราะมีหลายคนไปตั้งพรรค เหตุเป็นเพราะรัฐธรรมนูญที่ทำให้พรรคใหญ่อ่อนแอ โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้งหนึ่งใบที่เลือกส.ส.เชตและปาร์ตี้ลิสต์ พรรคที่ได้คะแนนส.ส.เขตมาก โอกาสส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคนั้นๆ จะไม่ได้สูง ตรงนี้จะเกิดความขัดแย้งกันเองของผู้สมัครส.ส.ของพรรคทั้งสองระบบ เพราะกติกานี้ย้อนยุคทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ วันนี้น่าจะมีนับร้อยพรรคในการลงเลือกตั้ง” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

“ในอดีตส.ส.อยู่ฝ่ายค้านแต่แอบไปโหวตให้รัฐบาลได้ วันนี้เรื่องแบบนี้น่ากลับมาอีก กติกาวันนี้มันเป็นแบบนี้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า เมื่อกติกาเป็นแบบนี้คนของพรรคเพื่อไทยก็ออกไปตั้งพรรค เพราะอยู่ที่นี่อาจไม่ได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ทุกคนเลือกแนวทางและอนาคตตัวเองได้ พรรคใหม่นั้นไม่ต้องชนะในเขต หากรวมคะแนนได้เจ็ดหมื่นคะแนนก็ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์หนึ่งคนแล้ว ย้ำว่าไม่ขัดแย้งกันหากพรรคใหม่หนุนประชาธิไตยเต็มรูปแบบ ยืนยันว่าคนที่ออกไปจากพรรคเพื่อไทยนั้น เราเข้าใจกันดี

ส่วนกระแสข่าวอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ย้ายพรรคนั้นเหตุเพราะไม่ชอบคุณหญิงสุดารัตน์จึงย้ายออก คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ขอเรียนว่า หลายคนที่มีกระเเสข่าวว่าขัดแย้งกับตนนั้น ส่วนใหญยืนยันอยู่ที่นี่และไม่ขัดแย้งและบางส่วน และย้ำกับตนว่าไม่ได้ขัดแย้งกับตน แต่ขอย้ายเพื่อไปทำพรรคใหม่ให้เติบโต

“ตนตอบไม่ได้ว่าบางคนที่ย้ายออกเพราะขัดแย้งการทำงานกับตน คนที่มีชื่อย้ายออกเป็นข่าวก็โทรศัพท์คุยกับตนแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้ขัดแย้ง ข่าวที่ออมาไม่จริง และตนเข้าใจเหตุผลที่ย้ายพรรคเพราะรัฐธรรมนูญ ขอเรียนว่าความเห็นที่ขัดแย้งในการประชุมนั้น มันหลากหลาย เราไม่ได้เถียงกันเเบบอยู่ร่วมโลกไม่ได้ เพราะเมื่อประชุมจบ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไร”

ส่วนเหตุผลที่ไม่รับเป็นหัวหน้าพรรค แต่ไปเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคแทนเพราะกลัวว่าพรรคจะโดนยุบ และเมื่อไม่มีตำแหน่งบริหารพรรค ยังทำหน้าที่ทางการเมืองได้ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า วิเคราะห์กันได้ แต่ข่าวนี้ไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคคู่เเข่งปล่อยข่าวนี้เพื่อดึงอดีตส.ส.ของพรรคให้ย้ายออก ยืนยันพรรคพร้อมพิสูจน์ตัวเอง

“5 ปีที่ตนได้รับสิทธิทางการเมืองคืนมา ตอนนั้นสมัครใจไม่กลับมา แม้มีการชวน แต่ตนมองว่าทำงานการเมืองมามากแล้วจึงไม่กลับ เพราะมีภารกิจทางศาสนา และเรียนปริญญาเอก แต่ตอนนี้มีความจำเป็นและพรรคพวกก็ชักชวน ก็กลับมาหลายคน ที่ผ่านมาพล.ต.ท.วิโรจน์​ เปาอินทร์ ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคได้ดี ตนบอกกับพล.ต.ท.วิโรจน์ว่าไม่ประสงค์แข่งขันในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ตนจะทำงานตามที่หัวหน้าพรรคสั่งงาน ตนผ่านสิ่งต่างๆทางการเมืองมาเยอะ อะไรจะเกิดต้องสู้ ตนอยู่การเมืองเกือบสามสิบปีและตนร่วมตั้งพรรคไทยรักไทยมาจนเป็นพรรคเพื่อไทยในวันนี้ที่แก้ปัญหาให้ประชาชนได้ พรรคพวกจึงขอให้ตนทำหน้าที่นี้ ”

“การที่ตนไปปรากฏหลายเวที ทั้งเรื่องเทคโนโลยี และเด็กยุคใหม่ที่วันนี้เก่งมาก ฉะนั้นมันคือเรื่องใหม่ที่เราต้องเรียนรู้จากพวกเขาให้ทันโลก เพราะตอนนั้นตนว่างและเป็นคนประเภทน้ำไม่เต็มแก้ว จึงไปเรียนรู้เพื่อเปิดโลกใหม่” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

ส่วนจะมีชื่อเป็นนายกฯในนามพรรคเพื่อไทยหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าววว่า การเสนอชื่อเป็นนายกฯนั้น พรรคมีหลักว่าจะไม่เสนอชื่อคนนอก แต่จะหารือในพรรคอีกครั้ง สิ่งที่พรรคทำนั้นคือนโยบายพรรคที่ออกมา เราต้องฟังประชาชน จนทำเป็นนโยบายที่ทำได้จริงและเกิดประโยชน์กับประชาชน หาทางออกให้ประเทศได้ รวมทั้งการรีฟอร์มพรรคครั้งนี้ต้องทำงานเป็นทีมที่เคยทำงาน

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า หากถามว่าตนควรที่จะเป็นนายกฯหรือไม่ เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเห็นและความไว้ใจของสมาชิกพรรค การเป็นผู้นำองค์กรนั้นต้องรวมความคิด และแนวทางการทำงานขององค์กร หากถามว่าตนพร้อมเป็นนายกฯนั้น ย้ำว่าตนเป็นคนน้ำไม่เต็มแก้ว รับข้อเสนอแนะทุกฝ่าย ในฐานะที่ต้องนำองค์กร

คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า มั่นใจว่าหากพรรคชนะเลือกตั้ง จะตั้งรัฐบาลได้ หากพรรคได้ 250 ส.ส.และต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา แต่ฝ่ายนั้นมี 250 ส.ว.อยู่ในมือ หาส.ส.อีกหนึ่งร้อยกว่าคนก็เลือกนายกฯได้ แตกต่างกับที่พรรคเพื่อไทยทำ ต้องบอกว่า พรรคคต่างๆต้องบอกว่าเลือกตั้งครั้งนี้จะอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยหรืออยู่แบบเดิมที่หนุนทหารที่มีการวางโรดแมปเพื่อสืบทอดอำนาจ พรรคต่างๆที่เห็นคุณค่าประชาธิปไตยในวันนั้นก็ต้องพิจารณากันด้วย

ส่วนจะจับมือกับพรรคต่างๆ ที่แยกตัวไปจากพรรคเพื่อไทยในการตั้งรัฐบาลนั้นและเลือกคนของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า จำเป็นพรรคใดที่ยึดมั่นประชาธิปไตยก็สามารถทำงานร่วมกันในฐานะรัฐบาลหรือฝ่ายค้านได้ ถึงเวลาจะแยกได้ว่าพรรคใดที่ยึดประชาธิปไตย และพรรคใดลงเลือกตั้งเพื่ออยากเป็นรัฐบาล วันนั้นจะมองออก

“ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ฝ่ายใด ก็อยู่ที่จุดยืนทางนั้น ที่ฟังมานั้นดูเหมือนมีสองทาง เพราะเหมือนเปิดช่องว่าอาจจับมือกับทหารได้ ส่วนจะพรรคเพื่อไทยจับมือกับประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลหรือไม่นั้น รอดูจุดยืนทางนั้นที่จะประกาศก่อนเพราะพูดว่าหนุนประชาธิปไตยแต่ก็ฟังเหมือนจะหนุนทหาร ตอนนี้ยังฟันธงไม่ได้” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

การเลือกตั้งครั้งนี้บางคนบอกว่ามันคือการต่อสู้ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับนายทักษิณ ชินวัตรนั้น คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่านายทักษิณ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่วันนี้มันคือการต่อสู้กับเผด็จการกับประชาธิปไตย ตอนนี้ประเทศไทยอาจยิ่งกว่าเมียนมา ตนมองว่าวันนี้ประชาธิปไตยมีความสำคัญที่ระบบ ความเชื่อ เสรีภาพ เมื่อประเทศนี้ใช้ประชาธิปไตย พรรคต้องรักษาระบอบนี้ เพราะมันคือโอกาสของคนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชน วันนี้หากปิดกั้นความคิดทางเทคโนโลยีประเทศจะเสียโอกาส ล้าหลัง

ส่วนโอกาสที่พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งนั้น คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ไม่ขอตอบ เพราะตนอยู่พรรคเพื่อไทย หากตอบไปจะไม่น่าเชื่อถือ แต่รอประชาชนตัดสินใจ ส่วนหลังเลือกตั้งจะกลับไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า หากตอบแทนทุกองค์กรนั้นลำบาก แต่พรรคประกาศว่าพรรคเดินหน้าสู่เลือกตั้ง หวังว่า เลือกตั้งจะบริสุทธิ์ แต่สิ่งนี้คงไม่เป็นอย่างที่หวังแล้วเพราะทราบว่ากำลังมีการซื้อเสียงเเละใช้อำนาจรัฐ ตอนนี้มีการใช้บัตรคนจนหาเสียงแล้ว รัฐบาลที่ยึดอำนาจมาอย่าใช้ทรัพย์สินของประเทศเพื่อพรรคของตัวเอง พรรคมีหน้าที่เตือนว่าเลือกตั้งครั้งนี้ต้องยุติธรรม

“และหากผลการเลือกตั้งออกมาเเบบใด พรรคเคารพ ย้ำว่า ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นจะไม่มาจากพรรคแน่นอน”