บริษัทในเครือไทยเบฟร่วมขับเคลื่อนโครงการอีอีซีไอและเศรษฐกิจชีวภาพ ลงทุนโรงงานต้นแบบ 10 ล้านบาทขยายผลวิจัยจากแล็บสู่ระดับอุตสาหกรรมทั้งเทคโนโลยีย่อยแป้งเป็นน้ำตาลและการผลิตพลาสติกชีวภาพจากเอทานอล
บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พัฒนาโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ในพื้นที่นวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซีไอ เพื่อตอบโจทย์การขยายสเกลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์
ตอบเทรนด์ไบโออีโคโนมี
ไทยแอลกอฮอล์เป็นผู้ผลิตเอธิลแอลกอฮอล์ เอทานอลและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากเอทิลแอลกอฮอล์ ได้มีความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ ไบโอเทค สวทช. มาระยะหนึ่งแล้ว เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีการย่อยแป้งเป็นน้ำตาลให้ได้ 100% ทำให้ลดต้นทุนได้มากกว่า 10 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
นายวิชัย โคตรฐิติธรรม กรรมการบริษัท กล่าวว่า ผลสำเร็จดังกล่าวทำให้เกิดความเชื่อมั่นและสนใจขยายปริมาณการผลิตจากห้องทดลอง สู่ระดับอุตสาหกรรมผ่านโรงงานต้นแบบ จึงเป็นที่มาของความร่วมมือครั้งนี้ โรงงานต้นแบบที่จะเกิดในพื้นที่อีอีซีไออาจต้องรอ 2-3 ปี โดยเตรียมงบประมาณเบื้องต้น 10 ล้านบาทในการพัฒนาโรงงานต้นแบบและทำงานวิจัยร่วม
“ในช่วงเริ่มต้น ไทยแอลกอฮอล์จะเลือกนำงานวิจัยที่เคยทำมาก่อนแล้วมาใช้ประโยชน์ให้ตอบโจทย์ที่วางไว้ เช่น เรื่องของการลดต้นทุนการผลิต แต่หากไม่มีงานวิจัยในมือที่จะช่วยแก้ปัญหาก็จะเป็นการวิจัยร่วมกันต่อไป โดยคาดหวังใน 3 ส่วนคือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีจาก สวทช., การสร้างเทคโนโลยีใหม่ผ่านการวิจัยร่วม และการนำผลการวิจัยไปต่อยอดสู่อุตสาหกรรมจริงในที่สุด”
บริษัทยังมีโครงการเกี่ยวเนื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจา เป็นการนำเอทานอลมาต่อยอดสู่พลาสติกชีวภาพ ซึ่งปัจจุบันยังมีต้นทุนสูง แต่อนาคตอีก 5-10 ปีจะเป็นสิ่งจำเป็นในตลาด จึงต้องวิจัยพัฒนาเพื่อเตรียมความพร้อมล่วงหน้า
“ไทยต้องไปทางนี้ เพราะไบโออีโคโนมีและไบโอรีไฟเนอรีเป็นการใช้ประโยชน์จากภาคเกษตรกรรมที่เป็นแกนหลักของประเทศ เป็นการสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและการเกษตร ที่จะช่วยแก้ปัญหาการเกษตรของไทยได้ในอนาคต”
จับมือพันธมิตรวิจัย
นอกจากนี้ สวทช.ยังลงนามความร่วมมือขับเคลื่อนอีอีซีไอกับอีกหลายหน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยและสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เพื่อสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการบินและอวกาศในพื้นที่อีอีซีไอ รวมถึงกำหนดให้พื้นที่อีอีซีไอเป็นเขตอนุญาตให้ทำการทดสอบทดลองใช้ (เรกูลาทอรี แซนด์บ็อกซ์) และร่วมทำการวิจัยและพัฒนาด้านอากาศยานไร้คนขับ (ยูเอวี) การสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยของยูเอวีและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ความร่วมมือกับอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้) เพื่อเชื่อมโยงการวิจัยพัฒนาและการลงทุนฐานนวัตกรรมระหว่างกัน โดยให้ภาคเอกชนเข้ามาทำการวิจัยและพัฒนาในพื้นที่อุทยานฯ ในระหว่างที่พื้นที่อีอีซีไอยังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งจะส่งเสริมทำการตลาดและแนะนำเพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนเข้ามาอยู่ในพื้นที่ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
และความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ที่เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จะร่วมสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้ บุคลากรและทรัพยากร พร้อมทำการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมร่วมกัน รวมถึงร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งจากภายในและต่างประเทศ
นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์ลงทุน 20 ปีของอีอีซีไอ รวมงบลงทุน 3 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย 6 กลุ่มได้แก่ เกษตรสมัยใหม่ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การบินอวกาศ และเครื่องมือแพทย์ ตั้งเป้าจะทำให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนในระยะ 20 ปีกว่า 1 แสนล้านบาท โดยการลงทุนเฟสแรกจะอยู่ในปี 2561 เพื่อก่อสร้างอาคาร กำหนดแล้วเสร็จในปี 2564
ส่วนความร่วมมือในการพัฒนาครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศด้วยเศรษฐกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย และภาคเอกชนในการร่วมกันพัฒนาพื้นที่อีอีซีไอต่อไป