จับแล้ว 'จอมโจรโอเล่' ตุ๋นเหยื่อประมูลสินค้าไอที สูญกว่า 3 แสน

จับแล้ว 'จอมโจรโอเล่' ตุ๋นเหยื่อประมูลสินค้าไอที สูญกว่า 3 แสน

"บิ๊กโจ๊ก" แถลงจับมิจฉาชีพหลอกร่วมลงทุน 3 คดี หลอกระดมทุนขายเครื่องนวดสปาหน้า-ประมูลสินค้าไอทีออนไลน์-ลงทุนซื้อถุงบิ๊กแบ็ค เตือนอย่าหลงเชื่อผลตอบแทนสูงเกินจริง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ(บก.ปอศ.) ถนนสาธร พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วยพล.ต.ต.ธีรพล คุปตานนท์ รรท.ผบช.ทท. พ.ต.อ.วรพจน์ ดิษยบุตร รองผบก.ปอศ. ตำรวจสตม. ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจบก.ปอศ. และชุด ศปอส.ตร. ร่วมกันแถลงจับกุมมิจฉาชีพหลอกร่วมลงทุน มีคดีที่น่าสนใจ 3 คดีดังนี้

คดีแรกจับกุมนางภัสราภรณ์ โชติสิงห์สิริ อายุ 46 ปี และนายพิพัฒน์ชัย จงจิตไพศาล อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาหลอกลวงลงทุนขายเครื่องนวดสปาหน้า การันตีผลตอบแทนมากกว่า 600% ต่อปี โดยจับกุมนางภัสราภรณ์ได้ที่ จ.เชียงใหม่ นายพิพัฒน์ชัย จับกุมได้ที่ จ.ลพบุรี

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชน จำนวน 10 ราย ว่าตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงระดมทุนขายเครื่องนวดสปาหน้า มีมูลค่าความเสียหายกว่า 5 ล้านบาท และคาดว่ามีผู้เสียหายที่ยังไม่ได้แจ้งความอีกกว่า 100 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 30 ล้านบาท ทาง พงส.กก.5บก.ปอศ.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่านางภัสราภรณ์และนายพิพัฒน์ชัย เป็นสามีภรรยากัน ได้ร่วมหลอกลวงผู้เสียหายผ่านเฟซบุ๊กชื่อ “ภัสราภรณ์ เจ้าแม่ท้าวแชร์” และ “ภัสราภรณ์ ชิตสิงห์สิริ” ว่าเป็นตัวแทนขายเครื่องนวดสปาหน้าของบริษัทนูสกินส์ ได้ชักชวนให้ประชาชนทั่วไปนำเงินมาลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนสูง หากมีผู้สนใจนางภัสราภรณ์จะดึงเข้ากลุ่มไลน์ พร้อมแจ้งเงื่อนไขการลงทุนให้ทราบว่า ลงทุนขายเครื่องนวดสปาหน้า 1 เครื่อง โอนเงิน 30,000 บาท ครบกำหนด 7 วัน รับกำไร 3,500 บาท และแจ้งบัญชีรับโอนเงิน มีทั้งบัญชีของนางภัสราภรณ์และนายพิพัฒน์ชัย ในช่วงแรกได้รับผลตอบแทนจริง ต่อมาได้แจ้งว่ามียอดสั่งซื้อเครื่องนวดสปาหน้าเพิ่มจำนวนมาก และได้เพิ่มกำไรให้ผู้ลงทุนเป็น 5,000 บาท

ผู้เสียหายเมื่อเห็นว่าได้เงินจริง จึงหลงเชื่อจองการลงทุนและเพิ่มจำนวนเงินลงทุน แต่เมื่อครบกำหนดนางภัสราภรณ์กลับไม่โอนเงินให้กลุ่มผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ เมื่อผู้เสียหายสอบถามก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่าถูกนายทุนโกงอีกทอดหนึ่ง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ฉ้อโกงประชาชน โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน เพื่อยึดทรัพย์ต่อไป

คดีที่สองจับกุมนายวัชรินทร์ แก้วศรี อายุ 28 ปี โดยจับกุมตัวนายวัชรินทร์ ได้ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าแม็คโคร สาขาจรัญสนิทวงศ์ หลังได้รับร้องเรียนจากประชาชนกว่า 100 คน ว่าตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ หลอกประมูลขายสินค้าไอทีออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 300,000 บาท โดยนายวัชรินทร์ เป็นพ่อค้าขายของออนไลน์ ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “Watcharin Kaewsri” โฆษณาชักชวนให้ประชาชนทั่วไปมาประมูลซื้อสินค้าไอทีจากกลุ่มเฟซบุ๊กซื้อขายอุปกรณ์ไอทีและคอมพิวเตอร์ ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด เช่น ฮาร์ดิสก์ความเร็วสูง (SSD Samsung 970 EVO) ราคาตลาด คือ 4,590 บาท สามารถประมูลซื้อได้ในราคา 2,000 บาท เมื่อสนใจและประมูลซื้อได้ จะให้ผู้เสียหายโอนเงินมาที่บัญชีตนเอง หลังจากโอนเงินแล้วผู้เสียหายกลับได้รับพัสดุเป็นลูกอมโอเล่ ซูกัส แทน ต่อมานายวัชรินทร์ ออกมาโพสต์อ้างว่าถูกดีลเลอร์โกง และไม่ทราบเรื่องการส่งลูกอมไปให้กับผู้เสียหาย พร้อมขู่ห้ามใครโพสต์กล่าวหาตัวเองให้ได้รับความเสียหายจะฟ้องดำเนินคดี

จากการสืบสวนทราบว่า การจัดส่งกล่องพัสดุให้กับผู้เสียหายนั้นได้จัดส่งทางเคอรี่ เอ็กซ์เพลส มีนายวัชรินทร์ เป็นชื่อผู้จัดส่งกล่องพัสดุเองทั้งสิ้น ต่อมา พงส.บก.ปอศ.ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน,โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” และสามารถติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว

คดีที่สามจับกุมนายคมสัน ศรีสุข อายุ 36 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ จ.309/2561 ลงวันที่ 24 เมษายน 2561 ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน หลังร่วมกับพวก 8 คน กระทำความผิดหลอกผู้เสียหายลงทุนในการซื้อถุงบิ๊กแบ๊คจากโรงงานบริษัทเอกชนย่านสมุทรปราการ โดยอ้างว่าสามารถซื้อถุงบิ๊กแบ๊คเพียง 60 บาท และไปขายต่อ 80-100 บาท ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อร่วมลงทุน ซึ่งมีผู้ต้องหาเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 5 คน และอยู่ระหว่างหลบหนีอีก 3 คน โดยคดีดังกล่าวมีมูลค่าความเสียหาย 35 ล้านบาท

ด้าน พล.ต.ต.สุรเชรษฐ์ กล่าวว่า ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อว่าจะมีการได้รับผลตอบแทนที่สูงเกินความเป็นจริง และหากไม่มั่นใจขอให้โทรไปปรึกษากับตำรวจได้ที่เบอร์ 1155