CHAYO - ซื้อเก็งกำไร

CHAYO - ซื้อเก็งกำไร

คาดแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q61 รวมถึงช่วง 2H61 เติบโต YoY จากการเริ่มรับรู้รายได้กองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพชนิดมีหลักประกัน

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

  • คาดแนวโน้มกำไรสุทธิ 3Q61 รวมถึงช่วง 2H61 เติบโต YoY จากการเริ่มรับรู้รายได้กองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพชนิดมีหลักประกัน : คาดกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 3Q61 สามารถเติบโตได้ YoY จากการรับรู้รายได้กองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพชนิดมีหลักประกันที่บริษัทประมูลเข้ามาตั้งแต่ปี 60 ซึ่งจะทำให้บริษัทเติบโตได้ต่อเนื่องในช่วง 2H61 ซึ่งคาดกำไรสุทธิราว 36 ลบ. เติบโต 45%YoY โดยในช่วง 3Q61 บริษัทได้ประมูลกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้ามาเพิ่มเติมซึ่งเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพชนิดมีหลักประกันรวมมูลค่ากว่า 546 ลบ. สำหรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ฝ่ายวิจัยยังคงคาดการณ์ที่ราว 75 ลบ. เติบโต 29%YoY จากรายได้ปี 61 เติบโต 3%YoY สู่ 213 ลบ. ด้วยสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 4% ในปี 60 สู่ 67.5% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 28.3% ในปี 60 สู่ 35.3% เนื่องจากมีรายได้จากกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพชนิดมีหลักประกันเพิ่มขึ้น ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าเพราะไม่มีค่าใช้จ่ายพนักงานในการโทรติดตามแต่มีเพียงค่าใช้จ่ายเฉพาะในกระบวนการฟ้องร้องบังคับหนี้
  • คงเป้าการซื้อกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพหมื่นล้านบาท พร้อมตั้งบริษัทย่อยเสริมธุรกิจหลักของบริษัท: ผู้บริหารยังคงเป้าการซื้อกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพปี 61 ไว้ที่ 10,000 ลบ.โดยซื้อเพิ่มจาก 2Q61 ที่ 8,661 ลบ.และปิดยอด 3Q61 ที่ 9,207 ลบ. และได้เปลี่ยนธุรกิจหลักของบริษัท “ชโย คอลเซนเตอร์” เป็น “ชโย พร๊อพเพอร์ตี้ แอนด์ เซอร์วิส” เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 1 ลบ. เป็น 5 ลบ. เพื่อทำธุรกิจให้กู้ยืมเงินโดยวิธีรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ รับซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีขายฝาก รวมถึงพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ด้วย  อีกทั้งได้ตั้งบริษัทย่อย “ชโย เงินกู้” (ถือหุ้น 70%) มีทุนจดทะเบียน 50 ลบ. เพื่อทำธุรกิจให้สินเชื่อในกลุ่มพนักงานโรงงาน พนักงานบริษัทเอกชนที่ปกติเสียดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบสูงถึง 60-120% ต่อปี ให้ลดลงเหลือไม่เกิน 36% ต่อปีเมื่อกู้เงินในระบบ  คาดจะเริ่มดำเนินงานใน 4Q61 เรามองว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องเนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนให้เพิ่มสัดส่วนจำนวนลูกหนี้ในระบบให้มากขึ้น โดยยอด Outstanding Loans ของ Nano Finance ทั้งประเทศ ณ เดือน ส.ค.61 มีมูลค่ารวม 22,049 ลบ.เพิ่มขึ้น 515%YoY (ที่มา : ธปท.)
  • คาดกำไรสุทธิปี 62 เติบโต 22%YoY โดยยังไม่รวมอัพไซต์จากธุรกิจใหม่ : คาดการณ์กำไรสุทธิปี 62 ราว 92 ลบ. เติบโต 22%YoY จากรายได้รวมที่คาดจะเติบโตราว 18%YoY สู่ 250 ลบ. มีสัดส่วนหลักมาจากรายได้จากเงินให้สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่คาดจะเติบโตราว 20%YoY สู่ 198 ลบ. เนื่องจากบริษัทประมูลกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้ามามากขึ้นหลังจากบริษัทได้รับเงินจากการระดมทุนเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) โดยใช้สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจาก 67.5% ในปี 61 เป็น 68.0% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 61 สู่ 36.7% จากการรับรู้สัดส่วนรายได้จากสินทรัพย์ด้อยคุณภาพชนิดมีหลักประกันเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเรายังไม่ได้รวมผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยได้แก่ ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ และ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่งจัดตั้งไว้ในประมาณการ ซึ่งจะเป็นอัพไซต์ในอนาคต
  • ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อเก็งกำไร” และปรับมาใช้ราคาเหมาะสมปี 62 ที่ 80 บาท : ฝ่ายวิจัยปรับมาใช้ราคาเหมาะสมสำหรับปี 62 ซึ่งอิง Prospect PER ที่ 30 เท่าซึ่งสูงกว่าคู่แข่งที่ระดับ 21 เท่าเนื่องจากมีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นกว่า โดยประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 62 ราว 0.16 บาทได้ราคาเหมาะสม 4.80 บาทซึ่งต่ำกว่าราคาปิดล่าสุด  อย่างไรก็ดี การที่ผลการดำเนินงานของบริษัทมีแนวโน้มเติบโตดีในระยะยาว ขณะที่คาดกำไรในช่วง 3Q61 มีแนวโน้มเติบโต YoY เราจึงปรับคำแนะนำจากเดิม “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” เป็น “ซื้อเก็งกำไร”

ปัจจัยสนับสนุน

1.ธุรกิจให้สินเชื่อสามารถสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องมากกว่าธุรกิจ Call Center

2. บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากกองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพชนิดมีหลักประกันได้มากกว่าที่คาด

ความเสี่ยง

1. มีการเก็บหนี้ได้น้อยกว่าที่คาด

2. ไม่สามารถขายหลักประกันได้ตามที่คาดไว้