เมียยื่นเงินสด2แสน ขอประกัน 'จ่าประสิทธิ์' ถูกศาลสั่งจำคุกไม่รออาญา

เมียยื่นเงินสด2แสน ขอประกัน 'จ่าประสิทธิ์' ถูกศาลสั่งจำคุกไม่รออาญา

"จ่าประสิทธิ์" ลุ้นประกันสู้คดีชั้นอุทธรณ์ หลังศาลพิพากษาคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีรับของโจร-พ.ร.บ.ยุทธภัณฑ์ครอบครองเสื้อเกราะ-หมวกนิรภัยทหาร ช่วงสลาย นปช.ปี 53 เมียยื่นเงินสด2แสนขอประกัน

ที่ห้องพิจารณา 714 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1937/2560 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง "จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ" อายุ 53 ปี อดีต ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 และกระทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 4, 15, 42 ตามฟ้องอัยการ ระบุว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย.53 เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถจำเลย พบมีเสื้อเกราะกันกระสุนและหมวกนิรภัยปราบจราจลซึ่งเป็นเครื่องยุทธภัณฑ์โดยมิได้รับอนุญาต ที่สูญหายไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ในเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าทหารปฏิบัติการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. และขณะที่ ส.อ.ชนะยุทธ คมสาคร สังกัดกองทัพภาค 1 กำลังปฏิบัติหน้าที่ ได้มีคนร้ายมากกว่า 3 คนขึ้นไปร่วมกันใช้คันธงยาว 1 เมตร ตีประทุษร้ายและแย่งชิงหมวกนิรภัยปราบจลาจลราคา 3,745 บาท ที่ ส.อ.ชนะยุทธ ครอบครองที่ศีรษะไปโดยทุจริต เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย เหตุเกิดที่แขวง - เขตดุสิต กทม. และที่อื่นเกี่ยวพันกัน โดยชั้นพิจารณา จำเลยก็สู้คดี ให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลยนำสืบแล้ว เห็นว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ขณะเจ้าหน้าที่ผู้เสียหายปฏิบัติหน้าที่หน้ากองทัพภาคที่ 1 ถูกผู้ชุมนุม นปช. คนเสื้อแดงชิงเสื้อเกราะและหมวกนิรภัยปราบจลาจลไป

ต่อมาวันที่ 22 เม.ย.53 ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารลาดตระเวน พบจำเลยขับรถผ่านมาก็ได้เรียกตรวจค้นแล้วพบว่ามีเสื้อเกราะ กับหมวกนิรภัยปราบจลาจลอยู่ท้ายรถ จึงยึดเป็นของกลางส่งพนักงานสอบสวนตรวจสอบซึ่งพบว่าเป็นยุทธภัณฑ์ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องขออนุญาต และเป็นของที่สูญหายไป ซึ่งจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้นก็มีเจ้าหน้าที่ ผู้เสียหายเป็นพยานโจทก์ เบิกความถึงการถูกทำร้ายและชิงยุทธภัณฑ์ไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ได้แจ้งความไว้ต่อ สน.ดุสิต โดยมีพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจค้น ได้เบิกความถึงการตรวจค้นพบเสื้อเกราะและหมวกนิรภัยในรถของจำเลยด้วย ซึ่งเป็นประจักษ์พยานผู้ยึดของกลาง อีกทั้งยังมีพนักงานสอบสวนที่ตรวจสอบของกลาง พบเป็นยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต โดยจำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้ครอบครอง ซึ่งพยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องกัน โดยได้กระทำตามหน้าที่ ไม่ได้มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

ขณะที่จำเลย เบิกความยอมรับว่า มีการตรวจค้นพบของกลาง โดยวันที่ 22 เม.ย.53 ขณะจำเลยปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงนั้น มีผู้เก็บของกลางมาให้จำเลยประกาศหาเจ้าของ จากนั้นก็ไม่ทราบว่าของกลางมาอยู่ในรถของจำเลยได้อย่างไร จนทราบภายหลังว่ามีการ์ด นปช. 2 คน นำของกลางมาเก็บในรถโดยไม่บอกให้จำเลยทราบ

ศาลเห็นว่า การหาเจตนาต้องอาศัยเหตุผลพยานแวดล้อม ที่จำเลยอ้างว่าไม่รู้เรื่องของกลางอยู่ในรถนั้นขัดกับในคำให้การชั้นสอบสวนที่ไม่ได้ให้การว่าการ์ด นปช. ทั้งสองเป็นผู้นำของกลางไปเก็บไว้ท้ายรถทั้งที่เคยให้การว่าทราบในวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ อีกทั้งก็ไม่นำบุคคลทั้งสองไปให้การต่อพนักงานสอบสวน แต่บุคคลทั้งสองมาเป็นพยานจำเลยซึ่งได้ตอบการถามค้านได้ความว่า การนำของกลางไปเก็บไว้ท้ายรถเนื่องจากเห็นฝากระโปรงรถเปิดไว้อยู่แล้ว ทั้งที่รถของจำเลยจอดไว้อยู่ก่อนขับออกไป จึงเป็นพิรุธ ง่ายต่อการอ้าง แม้จะมีพยานจำเลยอื่นเบิกความสนับสนุนก็เป็นญาติกับเพื่อนร่วมงานที่สงสัยได้ว่าช่วยเหลือจำเลย พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ จึงเชื่อได้ว่า จำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีของกลางอยู่ท้ายรถ เป็นยุทธภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตครอบครอง ในฐานะที่จำเลยเป็นอดีตตำรวจย่อมรู้ว่าเป็นของเจ้าหน้าที่ และเป็นแกนนำคนเสื้อแดงรู้ว่ามีเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 ของกลางเป็นทรัพย์ที่ถูกปล้น จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจรด้วย

จึงพิพากษาว่า "จ.ส.ต.ประสิทธิ์" จำเลย กระทำความผิดตามฟ้อง ซึ่วเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ให้จำคุก1 ปี และฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 จำคุกอีก 1 ปี รวมจำคุก 2 ข้อหาทั้งสิ้น 2 ปี

ทั้งนี้ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว ภรรยา ของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 200,000 บาท ขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล