ศาลรอลงอาญา 1 ปี 'พุทธะอิสระ' กักขัง ตร.สายสืบ

ศาลรอลงอาญา 1 ปี 'พุทธะอิสระ' กักขัง ตร.สายสืบ

ศาลอาญา พิพากษาจำคุก 3 ปี อดีตพระพุทธอิสระ โทษหนักสุดกักขังหน่วงเหนี่ยวทำร้ายอันตรายสาหัส ไม่เคยทำผิดมาก่อน ศาลให้โอกาสกลับตัวรอลงอาญาไว้ เจ้าตัวเตรียมกลับบวชอีก 1 ธ.ค.นี้

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.61 ที่ห้องพิจารณา 814 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีร่วมกันประทุษร้ายตำรวจสันติบาลในม็อบ กปปส.แจ้งวัฒนะ หมายเลขดำ อ.2498/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อายุ 59 ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยใน จ.นครปฐม ฉายาพุทธอิสระ และแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ปี 2557 เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายฯ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ โดยร่วมกระทำด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยการใดให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ฯ ให้รับอันตรายสาหัส มาตรา 310 ประกอบ มาตรา 83

โดยอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลเมื่อวันที่ 15 ส.ค.61 ที่ผ่านมา ระบุพฤติการณ์แห่งคดีสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ.57 เวลากลางวัน ขณะมีการตั้งเวทีปราศรัยของกลุ่ม กปปส.บริเวณหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ถ.แจ้งวัฒนะ จำเลยซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมกับกลุ่มบุคคลไม่ทราบชื่อจำนวนมากกว่า 5 คนขึ้นไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นการ์ดคอยดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณเวทีปราศรัยที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้บังอาจร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบูรพงศ์ ผู้เสียหายที่1-2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าไปสืบสวนหาข่าว โดยใช้กำลังจับผู้เสียหายทั้งสองปิดตา มัดมือไพล่หลัง ใช้กำลังประทุษร้ายเป็นเหตุให้ ร.ต.ต.สมคิด ได้รับอันตรายสาหัส กระดูกซี่โครงหัก ตับฉีกขาด ใช้เวลารักษาตัวประมาณ 6 สัปดาห์ ส่วน ด.ต.วชิรพงศ์ มีบาดแผลฟกช้ำหลายแห่ง ฟันซ้ายล่างหัก ใช้เวลารักษาตัวประมาณ 10 วัน รวมทั้งทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองมูลค่ารวม 60,900 บาทถูกประทุษร้ายสูญหายไป

นอกจากนี้ จำเลยกับพวก ยังร่วมกันข่มขู่ให้ผู้เสียหายทั้งสองบอกรหัสปลดล็อคโทรศัพท์มือถือ และให้บอกว่าเป็นผู้ใด เข้ามาบริเวณที่ชุมนุมเพื่ออะไร เมื่อไม่ยอมบอกพวกจำเลยก็ใช้กำลังประทุษร้ายและข่มขู่ว่าจะเอาผู้เสียหายทั้งสองไปลอยน้ำ จนผู้เสียหายทั้งสองต้องจำยอมตามที่พวกของจำเลยข่มขู่

โดยจำเลย ซึ่งเป็นผู้ควบคุมการชุมนุมมีอำนาจสั่งการให้พวกของจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งของตนได้ โดยจำเลยทราบว่าพวกของจำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายทั้งสองไว้นานหลายชั่วโมง แต่กลับเพิกเฉยไม่สั่งให้ปล่อยตัวไป เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทั้งนี้อัยการได้ขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขดำ อ.247/2561 (คดีกบฏ กปปส.) ด้วย

ขณะที่หลังจากยื่นฟ้องแล้ว อดีตพระพุทธอิสระ จำเลย ได้แถลงให้การรับสารภาพเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมาในชั้นสอบคำให้การของศาล และได้สั่งให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติทำรายงานสืบเสาะและพินิจประวัติของจำเลย เสนอศาลประกอบการทำคำพิพากษา

ซึ่งวันนี้ นายสุวิทย์ หรืออดีตพระพุทธอิสระ จำเลย ซึ่งขาดความเป็นพระตามกฎหมายแล้ว ก็สวมชุดสีขาวและนั่งรถเข็นวิลแชร์มาเนื่องจากมีอาการป่วยหมอนรองกระดูกรุนแรงซึ่งกำลังทำการรักษาและพักฟื้น รวมทั้งเพิ่งผ่าตัดดวงตาข้างขวา และยังมีปัญหาข้อเข่าเสื่อมด้วย โดยมีบุคคลใกล้ชิดติดตามดูแลประคองลงจากรถตู้ ซึ่งมีลูกศิษย์ตามให้กำลังใจจำนวนมาก
โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ โดยจำเลยยังถูกฟ้องในคดีกบฏ กปปส. ด้วย ขณะที่จำเลยก็ได้วางเงินต่อศาลเพื่อเยียวยาผู้เสียหายทั้งสองไว้แล้วจำนวน 40,000 บาท

จึงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสองและวรรคสาม ฐานร่วมกระทำด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด และกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้อื่นทำให้รับอันตรายสาหัส ตามมาตรา 310 วรรคสอง ซึ่งเป็นความผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวทำให้รับอันตรายสาหัสที่เป็นโทษบทหนักสุด ให้จำคุก 3 ปี

จำเลยให้การสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน และเมื่อพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะพินิจแล้ว เห็นว่าคดีนี้จำเลยได้วางเงินชดใช้ให้กับผู้เสียหายทั้งสองแล้ว จำนวน 40,000 บาท ซึ่งผู้เสียหายทั้งสองไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อไป ขณะที่จำเลยไม่เคยได้รับโทษคดีอาญามาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี จึงให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 1 ปี ส่วนที่อัยการขอให้นับโทษต่อจากคดีกบฏ กปปส.นั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษาจึงให้ยกคำร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว กลุ่มลูกศิษย์ประมาณ 30 คน ที่มาร่วมฟังคำพิพากษา ก็ได้พนมมือพร้อมกันและกล่าวคำว่า สาธุ ในห้องพิจารณา

ขณะที่ อดีตพระพุทธอิสระ กล่าวภายหลังถึงผลคำพิพากษาของศาลว่า เป็นความเมตตาของศาลและผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ให้ความธรรมต่ออาตมา "ต่อไปนี้ก็คงต้องตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของพระสมณะที่ดีของพระธรรมวินัยต่อไป ส่วนอาการป่วยก็ยังมีอาการป่วยอยู่"

เมื่อถามย้ำว่าจะกลับเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกใช่หรือไม่ อดีตพุทธอิสระ ตอบว่า ใช่ โดยเตรียมจะบวชประมาณวันที่ 1 ธ.ค.นี้ แต่จะเป็นวัดอ้อน้อยหรือวัดใดนั้น อดีตพุทธอิสระ ปฏิเสธที่จะตอบ ทั้งนี้ ปฏิเสธที่จะตอบเรื่องการออกมาเคลื่อนไหวการเมือง โดยระบุเพียงว่า การเมืองก็ให้ฝ่ายการเมืองดูแลจัดการไป