ยอดจองกองทุน'ทีเอฟเอฟ'เกินเป้า รายย่อยโดดถือหน่วย50%

ยอดจองกองทุน'ทีเอฟเอฟ'เกินเป้า รายย่อยโดดถือหน่วย50%

สคร.เผยยอดจองกองทุน "ทีเอฟเอฟ" เกินเป้า รายย่อยยื่นจองซื้อมากกว่า 41,200 ใบจอง รวมมูลค่า28,800 ล้านบาท อีกทั้งความต้องการนักลงทุนสถาบันมีมาก ทำให้ได้ราคาเสนอขายที่สูงที่สุดที่ 44,700 ล้านบาท

นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า จากการเปิดให้ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนสถาบันเข้าจองซื้อหน่วยลงทุนของTFFIF ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างล้นหลามโดยประชาชนทั่วไปที่ยื่นจองซื้อหน่วยลงทุนในครั้งนี้มีมากกว่า 41,200 ใบจอง คิดเป็นมูลค่าการจองซื้อรวมกว่า 28,800 ล้านบาท อีกทั้งความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศก็มีมากจนทำให้ได้ราคาเสนอขายที่สูงที่สุดที่ 44,700 ล้านบาท

ทั้งนี้หน่วยลงทุนของ TFFIF จะเข้าทำการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศในวันที่ 31 ตุลาคม 2561ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “TFFIF”

 การเสนอขายหน่วยลงทุน TFFIF ในครั้งนี้ นับเป็นการเสนอขายต่อนักลงทุนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในปี 2561 และเป็นการทำ IPO
ที่มีประชาชนทั่วไปได้รับจัดสรรมากที่สุดอีกด้วย โดยการจัดสรรหน่วยลงทุนให้ประชาชนทั่วไปของ TFFIF ทำโดยวิธีSmall Lot First ซึ่งทำให้ประชาชนทุกคนที่จองซื้อได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุนทุกรายอย่างเท่าเทียม

 นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร.กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจาก TFFIFเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการสนับสนุนโดยภาครัฐและมีเป้าประสงค์ให้ประชาชนทั่วไปมีทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงและมีโอกาสในการเติบโต จึงได้พิจารณาให้จัดสรรจำนวนหน่วยลงทุนให้กับประชาชนทั่วไปมากกว่ากึ่งหนึ่งของหน่วยลงทุนที่เสนอขายทั้งหมด

โดยมีสัดส่วนของผู้ถือหน่วยลงทุนของ TFFIF ภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ (รวมจำนวนหน่วยลงทุนที่กระทรวงการคลังถืออยู่ปัจจุบัน) ดังนี้

  1. กระทรวงการคลัง จำนวน 457 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่า 4,570 ล้านบาท หรือ 10%
  2. ประชาชนทั่วไป จำนวน 2,300 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่า 23,000 ล้านบาท หรือ 50%
  3. ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ จำนวน 1,813 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่า 18,130 ล้านบาท หรือ 40%

ทั้งนี้ กทพ. จะได้รับราคาค่าสิทธิในรายได้ของทางการพิเศษฉลองรัชและบูรพาวิถีที่โอนให้แก่ TFFIFเท่ากับ 44,811 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า กทพ. จะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้พัฒนาโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออกและส่วนต่อขยายทดแทน ตอน N1 ต่อไป