'จตุพร' ย้ำไม่เคยหนุนเผด็จการ

'จตุพร' ย้ำไม่เคยหนุนเผด็จการ

"จตุพร" ย้ำไม่เคยหนุนเผด็จการ แค่ชวนทุกคนมาคุยให้บ้านเมืองเดินหน้า

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. แถลงที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าวว่า เมื่อสัปดาห์ก่อนตนแถลงกรณีการปล่อยข่าวเรื่องตนจับมือนายสนธิ ลิ้มทองกุล และพระพุทธะอิสระตั้งพรรคเพื่อชาติ วันนี้ต้องแถลงอีกครั้งเพราะมีปฏิบัติการข่าว ว่า ตนกับนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา จะนำพรรคเพื่อชาติ ไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐ ต้องขอเรียนว่า ตนกับนายยงยุทธทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ให้พรรคเพื่อชาติตามรัฐธรรมนูญ ตนเห็นชัดเจนว่ามีการปล่อยข่าวโดยเอาความจริงไปผสมกับความเท็จ เพื่อสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นในใจผู้รักประชาธิปไตย ขอยืนยันว่า ตน เป็นประธาน นปช. ซึ่งแปลว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ไม่ใช่แนวร่วมประชาธิปไตยสนับสนุนเผด็จการแห่งชาติ ดังนั้น สิ่งที่ตนอธิบายถึงถารสนับสนุนพรรคนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน 1.การที่จะเปิดกว้างให้คนเห็นต่างในบ้านเมืองนี้ได้มาคุยกัน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์นั้น สามารถทำให้เกิดเรื่องได้ทุกเวลาถ้าพรรคการเมือง ภาคประชาชน และผู้มีอำนาจไม่คุยกัน แต่ไม่ได้หมายถึงการให้แต่ละฝ่ายเปลี่ยนจุดยืนของตัวเอง คนที่มีความเชื่อแบบ กปปส. แบบพันธมิตร หรือ นปช.ก็คงดำรงความเชื่อแบบนั้นอยู่ เพียงแต่มาพูดคุยกันเพื่อหาสัญญาประชาคมให้เกิดขึ้นภายในชาติ ให้ชาติเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าเราจะได้นายกฯคนนอกหรือคนใน เพราะเสียงในสภาเพียง 126 บวกกับเสียง ส.ว.จะกลายเป็นเสียงข้างมากในการเลือกนายกฯ แต่นายกฯจะดำรงฐานะได้ต้องได้เสียงในสภา 250 เสียงขึ้นไปเท่านั้นจึงจะอยู่ได้ จะได้นายกฯคนในต้องหาเสียงถึง 376 ที่นั่ง แต่รัฐธรรมนูญกลับออกแบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวทำให้ไม่มีพรรคใดสามารถได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งได้

 

“ ดังนั้น ตนจึงคิดว่า ถ้าไม่คุยกัน ไม่ว่าจะนายกฯคนใน หรือนายกฯคนนอกก็จะมีเรื่อง ตนยืนหยัดอยู่ในฝ่ายประชาธิปไตยชัดเจน”

นายจตุพรกล่าวว่า 2.ตนเชียร์พรรคเพื่อชาติ แม้เป็นพรรคเล็กๆ ที่เปิดมา เพราะพรรคนี้เปิดกว้าง มีจุดยืนเรื่องประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ 100% และพร้อมจะคุยกับทุกฝ่าย ตนในฐานะประธาน นปช.ขอประณามคนที่ปล่อยข่าวว่าตนจะไปสนับสนุนเผด็จการ และขออโหสิกรรมให้แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ

 

ส่วนกรณีการแถลงของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. นั้น นายจตุพรกล่าวว่า ตนและประชาชนในฐานะพสกนิกรยืนหยัดตามแนวทางที่ พล.อ.อภิรัชต์แถลง และจะยืนหยัดตามแนวพระราชกระแสรับสั่งเรื่องความสามัคคี และความยุติธรรม แต่ประเด็นที่ไม่การันตีและไม่ยืนยันว่าการรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นนั้น ตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นการพูดอย่างตรงไปตรงมาที่สุด แม้ที่ผ่านมาคนไทยจะชินกับคำพูดของอดีต ผบ.ทบ.ว่าจะไม่ยึดอำนาจ แต่ก็ยึดอำนาจทุกครั้ง คนไทยมีความสุขกับการพูดเท็จมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เพียงแต่คนไทยไม่ชินกับการพูดความจริง เนื่องจากไม่มีคณะรัฐประหารชุดใดที่มีคนพูดในขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ว่าจะยึดอำนาจ หรือไม่ขอยืนยันว่าไม่ยึดอำนาจ มีแต่พูดว่าจะไม่ยึด แต่ยึดทุกคน ส่วนกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ยกเรื่องการก่อจราจลขึ้นมาพูดเป็นสาเหตุของการยึดอำนาจนั้น เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาทุกครั้ง สังคมถูกสร้างว่าคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลืองขัดแย้งกัน แล้วคนเสื้อเขียวเข้ามาสร้างความปรองดอง ก็อยู่ที่ว่าใครเป็นคนอธิบายประวัติศาสตร์ ตนจึงได้เสนอว่าเราต้องลดเงื่อนไขระหว่างกัน 

 

“เมื่อผบ.ทบ.เป็นเจ้ามือเปิดแทงอย่างตรงไปตรงมาแล้ว เราในฐานะคนที่อยากเลือกตั้ง อะไรที่จะเป็นเหตุที่จะทำให้ไม่เกิดการเลือกตั้ง ในที่นี้คือคำว่า ไม่สงบ ตนจึงชวนพรรคการเมืองต่างๆ ผู้มีอำนาจ และประชาชนมาพูดคุยกันเพื่อไม่ทำอะไรที่ไปเข้าเงื่อนไขที่พล.อ.อภิรัชต์พูด ดังนั้นเมื่อท่านพูดอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้แล้ว เราต้องหาทางแก้ไข ไม่ใช่ไปประณามหยามเหยียด แต่หากในอนาคตจะเกิดการยึดอำนาจขึ้นมาอีก ตนขอชี้ช่องไว้เลยว่า กรณี 4 รัฐมนตรี(เเกนนำพรรคพลังประชารัฐ)ที่ตนเรียกร้องว่า หากจะเป็นผู้เล่น ต้องลาออกนั้น รออะไรอีก ชื่อพรรคก็ได้เปรียบจากการเอาชื่อโครงการของรัฐบาลมาตั้งชื่อ ท่านต้องสร้างแบบอย่างในอนาคตกับคนที่ใหญ่กว่าท่าน เพราะถ้ารัฐมนตรีที่เข้าสู่ถนนการเมืองลาออก คนที่ใหญ่กว่าท่านก็ต้องลาออกเช่นกัน ดังนั้น เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแบบปี 2500 คือการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม และเที่ยงธรรมโดยการไม่ลาออก ตนชวนคนมาคุยกัน ไม่ได้ชวนมาคิดเหมือนกัน เราคิดเหมือนกันเรื่องเดียวเท่านั้นคือ ความจงรักภักดี แม้เราจะมีความคิดเห็นทางการเมืองต่างกัน เราก็อยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่แตกแยกกันแล้วให้อำนาจนอกระบบเข้ามายึด”

 

เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่าง นปช.กับพรรคเพื่อชาติ นายจตุพรกล่าวว่า ซีกของนปช. คนที่มีสังกัดเดิมอยู่แล้วก็อยู่สังกัดเดิม แต่ตัวตนตัดสินใจเชียร์ทีมใหม่ เป็นทีมเล็กๆ ตนสนับสนุนแนวทางที่พรรคนี้ประกาศไว้ ตลอดชีวิตตนสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม ทุกพรรคการเมืองจะเป็นนอมินีกันไม่ได้ ถ้าเป็นนอมินีกันจะถูกยุบพรรค ในสนามการแข่งขันมีพรรคในซีกของกปปส. 5 พรรค ตนเชื่อว่าไม่มีใครเป็นนอมินีใคร และในซีกฝ่ายประชาธิปไตยก็เช่นเดียวกัน เมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้ง ใครไปประกาศซูเอี๋ยกับใครพรรคก็ถูบยุบ ดังนั้น จะเหมือนกันแค่ใครเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ใครเป็นฝ่ายเผด็จการเท่านั้น ทั้งนี้ การเลือกตั้งครั้งหน้ายังอีกยาวไกล ดังนั้น การพูดคุยเพื่อทำสัญญาประชาคมกันจะเป็นเงื่อนไขแรก  เงื่อนไขที่สองคือ การตัดสินใจทางการเมือง ฝ่ายประชาธิปไตยก็ต้องตัดสินใจแบบฝ่ายประชาธิปไตย ปลายทางประชาชนจะเป็นผู้กำหนดว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร

 

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อชาติจะร่วมมือกับพรรคพลังประชารัฐได้หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรค พวกเขารู้ว่าประชาชนเลือก เพราะยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย ตนว่าอนาคตพวกเขาจะตัดสินใจถูกต้อง ตนเป็นเพียงกองเชียร์ ส่วนตัวตนชัดเจนว่าจะต้องยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย ไม่มีทางไปสนับสนุนเผด็จการ พรรคพลังประชารัฐทำสองสถานะ ระหว่างผู้เล่นกับกรรมการในคราวเดียวกัน จุดยืนก็ต่างกันแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าคุยกันไม่ได้ สามารถคุยกันได้ แต่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ในทางการเมือง ดังนั้น เราจึงต้องเรียกร้องผู้มีอำนาจให้เสียสละเพื่อบ้านเมือง การที่ไม่ยอมลาออกไม่เป็นผลดีอะไรเลย 

 

"ท่านต้องมีสปิริต ไม่เช่นนั้นการเลือกตั้งจะเกิดวิกฤตซึ่งตนไม่อยากให้เกิดขึ้น ตนจึงชวนสู้ในกติกาที่เป็นธรรม ตนชวนให้ทุกคนมาคุยกันจนหลายฝ่ายบอกว่านายจตุพรเปลี่ยนไป เพียงแต่ตนเข้าใจสถานการณ์ เราจน อดอยาก เพราะถูกแช่แข็งมา 5 ปีจากระบอบเผด็จการ  เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุตนก็จึงชวนให้คนหลีกเลี่ยง แต่ไม่ได้ชวนมาอยู่ด้วยกัน วันนี้ผมคิดว่าประชาชนกำลังหาทางออกอนาคตอยู่ เพราะประวัติศาสตร์ได้อธิบายไว้อยู่แล้วว่าเริ่มต้นอย่างไร มันก็จะเป็นไปอยู่อย่างนั้น จึงชวนคนมาหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์ไปเข้าเงื่อนไข เพราะสามารถทำได้ ส่วน นปช.ยังอยู่ตรงกลาง และตนยังเป็นประธาน นปช. ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ แต่จะยังคงต่อสู้เพื่อพี่น้องที่หลายคนยังอยู่ในคุก และยังไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่” นายจตุพรกล่าว

 

เมื่อถามว่า ประเมินว่าหากผู้นำพรรคเพื่อไทยคือคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พอจะสู้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หรือไม่ นายจตุพรกล่าวว่า พอตนมาเชียร์พรรคเพื่อชาติ ตนก็ไม่อยากพูดถึงหรือไปก้าวก่ายเรื่องของพรรคเพื่อไทยแล้ว แต่ตนคิดว่าทุกคนสู้ พล.อ.ประยุทธ์ไหวหมด ขอเพียงแค่มีหลักประชาธิปไตยเท่านั้น