อย.-กสทช. ขยายแนวรุกลงภาคใต้ จัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกม.

อย.-กสทช. ขยายแนวรุกลงภาคใต้ จัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกม.

อย.- กสทช. ขยายแนวรุกลงภาคใต้ จัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย

พลโท ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การกำกับดูแลการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพเป็นภารกิจที่ กสทช. และ อย.ต่างก็มีอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายของตนเอง โดยที่สำนักงาน กสทช. มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเฉพาะการกำกับดูแลการออกอากาศรายการหรือการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์ ก่อนหน้านี้ การทำงานเป็นลักษณะที่แต่ละหน่วยงานต่างทำงานไปภายใต้ระบบของตนเอง ทำให้การพิจารณาข้อร้องเรียนแต่ละเรื่องกว่าจะได้ข้อยุติและสิ้นสุดกระบวนการต้องใช้เวลาค่อนข้างนานอย่างน้อย 6 เดือน หรือบางกรณีอาจใช้เวลานานร่วมปี นอกจากนี้ บทลงโทษต่อการกระทำความผิดกรรมเดียวกันยังอาจต้องรับโทษ 2 ทาง ทำให้อาจเกิดความซ้ำซ้อนและเป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ ทาง กสทช. จึงได้ร่วมกับ อย. ในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมขึ้นใน สำนักงาน กสทช. โดยมีเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญของทั้งสองหน่วยงานมานั่งทำงานร่วมกัน เมื่อมีข้อร้องเรียนเกิดขึ้นหรือการตรวจพบการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่สามารถวิเคราะห์ วินิจฉัยและชี้มูลได้ทันที โดยปัจจุบันสามารถสรุปเรื่องให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 วัน ซึ่งถือว่าเร็วมาก และสามารถพิจารณาวินิจฉัยข้อร้องเรียนหรือกรณีการโฆษณาผิดกฎหมายที่ตรวจพบได้เป็นจำนวนมาก

กสทช.พลโท ดร.พีระพงษ์ กล่าวอีกว่า จากการปฏิบัติงานร่วมกันตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ก่อให้เกิดการตื่นตัวและปรับตัวของผู้ประกอบการอย่างกว้างขวางเนื่องจากโทษทางปกครองสำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือกระทำความผิดตามกฎหมาย กสทช. นั้นค่อนข้างสูง ทำให้ปัญหาการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การจัดการปัญหาการโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพในระดับพื้นที่ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์อย่างแท้จริง จึงได้กำหนดนโยบายร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข ขยายผลการดำเนินการไปยังส่วนภูมิภาค โดยมีกระบวนการดำเนินการ คือ มีการตรวจสอบเฝ้าระวัง       การโฆษณาร่วมกันระหว่าง สำนักงาน กสทช. ภาค / เขต และ สสจ. โดย สสจ. ซึ่งได้รับมอบอำนาจตามพระราชบัญญัติเกี่ยวกับอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพจาก อย. จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการโฆษณานั้น ๆ ทั้งนี้ อาจประสานสำนักงาน กสทช. ในส่วนภูมิภาคในเรื่องการเฝ้าระวังและการหาข้อมูล หลักฐานต่างๆ แล้วส่งผลการวินิจฉัยมายัง กสทช. ส่วนกลาง เพื่อดำเนินการกำกับดูแลต่อไป

นายแพทย์ธเรศ  กรัษนัยรวิวงค์  เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า  สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ได้เห็นความสำคัญในการควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมายและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยจะมีการดำเนินการตรวจสอบและเฝ้าระวังการโฆษณาทางสื่อต่าง ๆ เช่น ทางวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์  สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ รวมถึงสื่ออินเทอร์เน็ต เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้อง  เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นทางไม่ให้มีโฆษณาเผยแพร่ผ่านสื่อออกมาหลอกลวงผู้บริโภค  ซึ่งการจัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายนั้น จำเป็นต้องดำเนินงานเชิงรุก ภายใต้ความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันของเครือข่ายทั้งภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด (สสจ.)  และภาคประชาชน เช่น เครือข่ายผู้บริโภค และในวันนี้ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่จะแสดงให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความตั้งใจจริงของหน่วยงานทั้งภาครัฐและ ภาคประชาชนที่จะร่วมมือกันสร้างกลไกในการตรวจสอบ เฝ้าระวัง อย่างเข้มแข็งและช่วยกันแก้ไขปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางสื่อวิทยุกระจายเสียงทั้งในส่วนกลางและในส่วนภูมิภาค ซึ่งมีจำนวนมากถึง สามพันกว่าแห่ง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน เพื่อคุ้มครองประชาชนชาวไทย ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อโฆษณาที่โอ้อวด หลอกลวง ซึ่งอาจเสียทั้งเงินและเสียทั้งโอกาสในการรักษาโรค รวมไปถึงอาจเสียชีวิตจากการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยอีกด้วย

นายแพทย์ธเรศ  กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า อย. ได้เห็นความสำคัญในการปรับลดขั้นตอนกระบวนการทำงานจากเดิม ซึ่งที่ผ่านมามีการทำงานร่วมกันในรูปแบบของคณะทำงานจาก อย. และ สำนักงาน กสทช. ส่วนกลาง โดยมีกระบวนงานใหม่ที่ร่วมกันพิจารณาเนื้อหาการโฆษณาที่ออกอากาศหรือกระจายเสียง ทำให้ลดขั้นตอนเวลาการทำงาน ส่งผลให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทั้งในส่วนของสำนักงาน กสทช. และกระทรวงสาธารณสุข เป็นไปด้วยความรวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ ถือเป็นรูปแบบที่เข้มแข็งและชัดเจนทำให้เห็นภาพการแก้ไขปัญหาโฆษณาที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจากการดำเนินงานที่ผ่านมา อย. ได้ดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำการโฆษณาฝ่าฝืนกฎหมาย ในปีงบประมาณ 2561 มากถึง 529 คดี โดยแบ่งเป็นอาหาร 361 คดี ยา  81 คดี เครื่องมือแพทย์ 13 คดี และเครื่องสำอาง 74 คดี โดยเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการแถลงข่าวและจัดประชุมผู้รับผิดชอบงานด้านโฆษณา เพื่อสร้างกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และสำนักงาน กสทช. ส่วนกลาง  สำนักงาน กสทช. ภาคและเขต  และในวันนี้ (วันที่ 18 ตุลาคม 2561) ได้มีการขยายรูปแบบการทำงานดังกล่าวลงสู่พื้นที่เขตจังหวัดภาคใต้และประจวบคีรีขันธ์ โดยคาดหวังให้เกิดการพัฒนาระบบการจัดการปัญหาการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างบูรณาการ เป็นรูปธรรม  ตามแนวทางที่กฎหมายกำหนด  ภายใต้วิธีปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน  และจะขยายให้ครอบคลุมทั้งประเทศในโอกาสต่อไป