จำคุก 16 ปีไม่รอลงอาญา สมีเณรคำ พราก-ข่มขืนผู้เยาว์ เด็กผู้เสียหาย มาศาลด้วย บอกพอใจคำพิพากษา รอลุ้นคดีเรียกค่าเลี้ยงดูลูกอีก 40 ล้าน
ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 17 ต.ค.61 เวลา 10.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดี สมีเณรคำชำเราผู้เยาว์ หมายเลขดำ อ.2340/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 ยื่นฟ้อง นายวิรพล สุขผล อดีตพระภิกษุ ฉายาวิรพล ฉัตติโก หรือเณรคำ อายุ 39 ปี อดีตประธานสงฆ์สำนักสงฆ์วัดป่าขันติธรรม อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ ที่ทางการสหรัฐอเมริกาส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีเมื่อปี 2560 เป็นจำเลย ในความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม (อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 - 40,000 บาท) และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีซึ่งไม่ใช่ภริยาตนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก (อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 - 40,000 บาท)
ตามฟ้องอัยการโจทก์ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2560 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อเดือน ม.ค.2543 - กลางปี 2544 เวลากลางวัน จำเลยได้พรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งขณะเกิดเหตุเด็กหญิงอายุ 14 ปีเศษ จากผู้ปกครองไปอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา เป็นเวลา 2 ปี จนมีบุตร 1 คน ซึ่งพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ แต่ระหว่างดำเนินคดีจำเลยได้หลบหนีไปประเทศสหรัฐอเมริกา ต่อมาอัยการสูงสุดดำเนินการขอส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งทางการไทยได้รับตัว นายวิรพล มาจากประเทศสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2560 เหตุเกิดที่ ต.โพธิ์ อ.เมือง , ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ และที่ ต.แสนสุข อ.วารินชำราบ , ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
โดย นายวิรพล จำเลย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดและเด็กที่เกิดมาก็ไม่ใช่บุตรของตนเอง ซึ่งนับตั้งแต่ได้รับตัวกลับมาดำเนินคดี นายวิรพล ก็ไม่ได้รับการประกันตัวและวันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยมาจากเรือนจำคลองเปรมเพื่อฟังคำพิพากษา โดยมีกลุ่มลูกศิษย์ที่ยังเลื่อมใสกว่า 20 คน เดินทางมาให้กำลังใจด้วย ขณะหญิงผู้เสียหายปัจจุบันอายุ 32 ปีเดินทางมากับญาติอีก 2 คน และร่วมฟังคำพิพากษาด้วย โดยนั่งปะปนกับกลุ่มลูกศิษย์ ไม่ได้นั่งเผชิญหน้ากับ นายวิระพล แต่อย่างใด
ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบต่อสู้หักล้างกันแล้ว เห็นว่า คดีนี้ไม่ใช่การฟ้องซ้ำกับคดีที่ผู้ปกครองและเด็กหญิงผู้เสียหาย ยื่นฟ้องคดีเองที่ศาลจังหวัดศรีสะเกษแล้วศาลมีคำพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องที่มีพยานมาเบิกความเพียงปากเดียว เมื่อปี 2556 เนื่องจากพฤติการณ์ที่ฟ้องเป็นคนละช่วงวัน-เวลากัน ทั้งนี้พฤติการณ์ของจำเลยได้กระทำลงไปในแต่ละครั้งก็เสร็จสิ้น แล้วจึงเริ่มกระทำใหม่ หลายครั้งหลายหนไม่ใช่กระทำต่อเนื่องในช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้นการที่อัยการยื่นฟ้องใหม่ในคดีนี้ ซึ่งได้ระบุช่วงวัน-เวลาต่างจากคดีที่ผู้เสียหายเคยฟ้องเองที่ศาลจังหวัดศรีสะเกษ สิทธิแห่งการฟ้องคดีจึงไม่ยุติไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)
ส่วนประเด็นว่าจำเลยทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเด็กหญิงมีอายุ 14 ปีเศษ แล้วต่อมาในปี 2556 ผู้เสียหายทั้งสองได้ เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนดีเอสไอ กล่าวหาจำเลยพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ โดยชั้นพิจารณาก็มีผู้ปกครองและเด็กหญิงซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ 1 และ 2 เบิกความถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่าขณะเกิดเหตุจำเลยบวชเป็นพระสามเณรได้พบกับผู้เสียหายที่ 2 ขณะนั้นอายุ 14 ปีเศษ กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.2 ซึ่งครอบครัวได้พาผู้เสียหายที่ 2 ไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัด และจำเลยได้เข้ามาหา พูดคุย แตะเนื้อต้องตัว และหลังจากนั้นช่วงเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์มารับผู้เสียหายที่ 2 อ้างว่าจะพาไปซื้อของโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตจำเลยที่ 1 ซึ่งระหว่างนั้นก็ได้กระทำอนาจารกอด จูบ และกระทำชำเราด้วยการมีเพศสัมพันธ์ด้วยการไม่สวมถุงยางอนามัย ซึ่งจำเลยพาไปกระทำชำเราที่กุฎิร้างในจ.ศรีสะเกษ หลังจากนั้นจำเลยได้กระทำชำเราอีกหลายครั้งหลายหนและเมื่อกลัวว่าบุคคลอื่นจะล่วงรู้ จำเลยจึงให้ผู้เสียหายที่ 2 ย้ายไปอยู่บ้านเช่าที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ต่อมาภายหลังผู้เสียหายก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ กทม. เนื่องจากขณะนั้นจำเลยเป็นพระผู้ใหญ่เกรงว่าชาวบ้านจะล่วงรู้ ทำให้จำเลยเสียชื่อเสียง ซึ่งคำเบิกความของผู้เสียหายตรงกับบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวน ทั้งนี้แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผู้เสียหายก็ยังเบิกความถึงพฤติการณ์กระทำอนาจารและข่มขืนโดยมีรายละเอียดข้อเท็จจริงตรงกับที่ได้ให้การไว้ โดยคำเบิกความนั้นก็สอดคล้องกับที่พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน และเรื่องราวดังกล่าวหากมิได้เกิดขึ้น ก็ยากที่ผู้เสียหายจะปั้นแต่งเรื่อง เนื่องจากเป็นผู้หญิง คงจะไม่สร้างเรื่องราวที่ทำให้ตนเองและครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียง ขณะที่หลังเกิดเหตุตำรวจก็ยังได้พาผู้เสียหายไปชี้ที่เกิดเหตุต่อหน้าสื่อมวลชนด้วย
นอกจากนี้ยังมีชาวบ้าน , คนขับรถให้จำเลย และตำรวจที่รู้จักกับจำเลย ซึ่งจำเลยโอนผ่านส่งให้ผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกันว่าพยานที่เป็นคนขับรถ เป็นคนพาผู้เสียหายที่ 2 ย้ายไปจังหวัดอื่น ส่วนการโอนเงินเป็นค่าส่งเสียเลี้ยงดูเป็นรายเดือนนั้น จะโอนเข้าบัญชีของพยานที่เป็นตำรวจก่อน แล้วจึงนำไปให้ผู้เสียหายที่ 2 เช่นครั้งละ 10,000 บาท หรือ 5,000 บาทและในส่วนของการตรวจดีเอ็นเอก็ยังมีเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจมาเบิกความว่าได้ตรวจสารพันธุกรรมจากก้นบุหรี่ที่จำเลยเคยดูดและพระเครื่องที่จำเลยเคยให้กับบุคคลอื่น เพื่อพิสูจน์ว่าบุคคลมีความสัมพันธ์เป็นพ่อแม่ลูกกันหรือไม่ ก็พบว่ามีตำแหน่งที่ตรงกันถึง 15 ตำแหน่ง จึงระบุว่าน่าจะเป็นพ่อแม่ลูกกัน พยานหลักฐานที่นำสืบมาจึงไม่มีเหตุให้พิรุธสงสัยว่าพยานจะให้การปรักปรำจำเลย ซึ่งพยานที่เป็นเจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ขณะที่จำเลยก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าตำรวจที่เป็นคนกลางและโอนเงินให้นั้นมีความสัมพันธ์ทางอื่นกับผู้เสียหายอย่างไร จึงได้โอนเงินให้ ส่วนที่จำเลยปฏิเสธการตรวจดีเอ็นเอนั้น ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 131 บัญญัติว่าให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทุกชนิด ซึ่งหากจำเป็นต้องตรวจพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจกระทำได้ หากผู้ต้องหาหรือเสียหายไม่ยินยอม โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์หากได้มีการตรวจพิสูจน์แล้ว ซึ่งถ้าจำเลยมิได้กระทำผิดก็น่าจะยินยอมให้ตรวจพิสูจน์ ส่วนที่จำเลยต่อสู้ประเด็นที่มีการสืบพยานล่วงหน้าในส่วนของผู้เสียหายทั้งสองไว้ก่อน โดยอ้างว่าฝ่ายจำเลยไม่มีโอกาสซักถามนั้น ศาลเห็นว่าตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 277 ทวิ กำหนดว่าก่อนฟ้องคดี หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานจะเดินทางไปนอกประเทศ,ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง,มีเหตุจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นก็ขอให้ศาลสืบพยานนั้นได้ ซึ่งข้อเท็จจริงพบว่าผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นยายป่วยเป็นโรคหัวใจ ส่วนผู้เสียหายที่ 2 ก็เคยปรากฏว่าในคดีที่ได้ฟ้องจำเลยเองนั้น จำเลยได้ไปยุ่งเหยิงกับพยานที่จะต้องมาเบิกความในศาลและพาไปสถานที่อื่น นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยเองก็มีทนายความหลายคนซึ่งสามารถเข้ามาร่วมการสืบพยานล่วงหน้าได้ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นเพียงข้ออ้างลอยๆ และจำเลยก็ไม่ได้มีพยานอื่นมานำสืบประกอบข้อต่อสู้ด้วย
จึงพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากผู้ปกครองมาตรา 317 วรรคสามและกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ ตามมาตรา 277 วรรคแรก ซึ่งเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นความผิดไป โดยจำคุก 8 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุไม่เกิน 15 ปี และจำคุก 8 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี รวมจำคุก 16 ปี เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยใช้ความเป็นพระภิกษุที่ประชาชนให้ความเคารพศรัทธากระทำผิดกับเด็กนักเรียนเพียงชั้น ม.2 ทำให้ศาสนามัวหมอง จึงเห็นควรให้ลงโทษสถานหนัก และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีฉ้อโกงประชาชนที่ศาลนี้พิพากษาจำคุกไว้เป็นเวลา 20 ปี
ด้านทนายความของนายวิรพล หรือ เณรคำ กล่าวว่า จะขอคัดคำพิพากษาไปดูรายละเอียดและปรึกษากับ นายวิรพล หรือ เณรคำ อีกครั้งก่อนตัดสินใจว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่
ขณะที่ นางหญิง (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี อดีตเด็กหญิงผู้เสียหายคดีนี้ เปิดเผยว่า รู้สึกพอใจผลคำพิพากษาเป็นอย่างมาก หลังจากนี้ก็จะดำเนินการต่อในคดีแพ่งที่ได้ยื่นฟ้องไว้กับศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อปี 2556 โดยต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมเพราะช่วงขณะเกิดเหตุนายวิรพล สัญญาว่า จะจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูเดือนละ 10,000 บาท แต่ก็จ่ายให้ระยะหนึ่ง จากนั้นก็ไม่จ่ายให้อีกเลย ซึ่งจะเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรจากนายวิรพล หรืออดีตพระเณรคำ จำนวน 40 ล้านบาท ซึ่งศาลเยาวชนฯ ได้จำหน่ายคดีออกจากสารบบไว้ชั่วคราว โดยให้รอผลคำพิพากษาในคดีอาญานี้ก่อน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาในคดีแพ่ง ซึ่งคาดว่าทางฝ่ายจำเลยน่าจะอุทธรณ์คดี และวันนี้เป็นครั้งแรกที่มาเจอนายวิรพล หลังถูกดำเนินคดีซึ่งตนได้มองหน้าแต่นายวิรพลกลับไม่ยอมสบตา ส่วนความรู้สึกกับนายวิรพลนั้น ตอนนี้ตนไม่ได้นึกคิดอะไรแล้ว คิดเพียงว่าหากศาลพิพากษาออกมาอย่างไร ก็ให้เป็นตามนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ดีสำหรับพรากผู้เยาว์และข่มขืนกระทำชำเราฯ นั้นยังเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งจำเลยมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อได้ตามกฎหมาย
โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 9 ส.ค.61 ศาลอาญา พิพากษาให้จำคุก นายวิรพล ฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 รวม 29 กระทงๆ ละ 3 ปี กรณีหลอกลวงว่า จำเลยนิมิต (ฝัน) พบองค์อินทร์ ขอให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างมหาวิหารครอบองค์พระ รวมทั้งจะสร้างวิหารสำหรับประชาชนที่วัดป่าฯ สาขา 1 จ.อุบลราชธานี แต่จำเลยกลับนำเงินบริจาคไปใช้ส่วนตัวซื้อเครื่องบิน, รถยนต์หรู อาทิ ปอร์เช่ , BMW, โตโยต้าคัมรี่ และรถตู้ รวมหลายสิบคัน บางคันมีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท โดยรถระบุชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ
และจำคุก 3 ปีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) กับให้จำคุกฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ อีก 12 กระทงๆ ละ 2 ปี รวมจำคุกทั้งสิ้น 114 ปี แต่ตามกฎหมายเมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำคุกได้สูงสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) เป็นเวลา 20 ปี พร้อมให้ชดใช้เงิน 28,649,553 บาท คืนกับผู้เสียหายกับ 29 รายตามจำนวนที่แต่ละรายถูกหลอกลวงจนหลงเชื่อบริจาคด้วย
ขณะที่ ศาลแพ่ง ก็ได้พิพากษาให้ยึดทรัพย์จำนวน 43,478,992 บาทของ "นายวิรพล" ที่ชี้แจงที่มาไม่ได้ ให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย