'บิ๊กโจ๊ก' จับไกด์เถื่อนตุ๋นนทท.จีน อัพค่าปรับทิ้งขยะ

'บิ๊กโจ๊ก' จับไกด์เถื่อนตุ๋นนทท.จีน อัพค่าปรับทิ้งขยะ

“บิ๊กโจ๊ก” แถลงจับไกด์เถื่อนปลอมใบเสร็จค่าปรับเทศกิจเรียกเก็บเงินนทท.จีน ทิ้งขยะท่าเรือแหลมบาลีฮาย รวมถึงผลกวาดล้างชาวปากีสถาน

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 10 ต.ค.61 ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม พล.ต.ต.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ พล.ต.ต.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รอง ผบช.สตม . พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบช.สส.สตม. พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว ผกก.ควบคุมธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ต.ท.ปิยะพงษ์ เอนสาร สว.ส.ทท.4 กก.2 บก.ทท.1 ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุม นายอุดม แซ่เยีย อายุ 39 ปี และนายเจียง หยูหาง สัญชาติจีน อายุ 35 ปี ไกด์คนไทย และไกด์ชาวจีน ในฐานความผิดร่วมปลอมแปลงเอกสารราชการ หลังร่วมกันปลอมใบเสร็จค่าปรับเทศกิจหลังนักท่องเที่ยวจีนทิ้งขยะถูกปรับบริเวณท่าเรือแหลมบาลีฮาย พัทยา จ.ชลบุรี โดยจับกุมได้ที่ย่านพัทยา

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก นายหยู เจียนมิน อายุ 61 ปี นักท่องเที่ยวชาวจีน ร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ขณะกำลังท่องเที่ยวไปกับทัวร์ของบริษัทไทย ฮาวอาร์ยู จำกัด ซึ่งระหว่างนั้น นายหยู ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้น บริเวณท่าเรือแหลมบาลีฮาย จึงถูกเทศกิจแจ้งปรับข้อหา ทิ้งสิ่งปฎิกูลในที่สาธารณะ ซึ่งมีโทษปรับเป็นเงิน 2,000 บาท ต่อมาสองไกด์นำเที่ยวขันอาสาจะไปชำระให้ แต่ปรากฎว่าใบค่าปรับถูกแก้ไขตัวเลขจาก 2,000 บาท เป็น 3,000 บาท จึงได้ทวงถามทั้งคู่ก็อ้างว่าเพราะ นายหยู ถูกยึดหนังสือเดินทาง ปกติจะเสียค่าปรับ 5,000 บาท แต่ช่วยลดค่าปรับเหลือ 3,000 บาท นายหยู เห็นไม่เหมาะสมจึงจะแจ้งความที่ตำรวจพัทยา แต่ถูกไกด์ทั้งสองห้ามปรามพร้อมระบุว่า พัทยาอันตรายมากเพราะมีแต่เจ้าหน้าที่มาเฟีย ด้วยความกลัวจึงไม่แจ้งความ และเมื่อกลับมา กทม. จึงแจ้งตำรวจท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม หลังรับการร้องเรียน ทางตำรวจท่องเที่ยวจึงรวบรวมหลักฐานขออำนาจศาลจังหวัดพัทยา ออกหมายจับแจ้งข้อหา นายเจียงเป็นมัคคุเทศก์โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นบุคคลต่างด้าว ประกอบอาชีพไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันปลอมเอกสารราชการ แจ้งข้อหา นายอุดม เป็นมัคคุเทศก์ ให้บุคคลอื่นทำหน้าที่แทนตน และร่วมกันปลอมเอกสารราชการ พร้อมขยายผลตรวจค้น บริษัท ไทย ฮาวอาร์ยู จำกัด มีนายวิชาญ พรมวิชัย อายุ 53 ปี กรรมการบริษัท แจ้งข้อหา "สนับสนุนให้ผู้อื่นเป็นมัคคุเทศก์ ไม่ได้รับอนุญาต" และ"รับต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน" นำตัวดำเนินคดีต่อไป

อีกคดีตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจท่องเที่ยว ร่วมแถลงข่าวผลการระดมกวาดล้าง ชาวปากีสถานอยู่ในประเทศไทยผิดกฎหมาย โดยจับกุม นายชาน ปาทัส (MR.SHAN PATRAS) อายุ 57 ปี นายจอน เอคิบ อายุ 26 ปี พร้อมชาวปากีสถาน 57 คน ได้ที่บริเวณซอยจรัญสนิทวงศ์ 12 แขวงท่าพระ เขตบางกอกใหญ่

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สืบทราบว่า มีแก๊งลูกแพะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบให้ชาวปากีสถาน เข้ามาในประเทศไทยผิดกฎหมาย จึงตรวจสอบพบกระทั่งพบแหล่งที่พักภายใน ซอยจรัญสนิทวงศ์ 12 จึงได้สั่งการให้นำจับกุมจนคุมตัวชาวปากีสถาน 59 คน ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า มีการเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด จำนวน 52 คน และเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 5 คน และมีบุตรของผู้กระทำผิดอีกจำนวน 43 คน ซึ่งได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลแล้ว พร้อมกันนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะดำเนินการขึ้นบัญชีต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นระยะเวลาคนละ 10 ปี

โดยพฤติการณ์ของขบวนการนี้จะมีนายชาน ปาทัส และนายจอน เอคิบ ทำหน้าที่เป็นพ่อแพะ หรือเป็นเอเย่นต์ในการจัดหาอำนวยความสะดวกแก่บุคคลต่างด้าวสัญชาติปากีสถาน ซึ่งต้องการจะเดินทางไปประเทศที่สาม รวมทั้งคนต่างชาติที่ถูกจับกุมอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด โดยจัดหารถยนต์ รถแวน และรถตู้ บริการคนต่างชาติเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ รวมถึงจัดรถยนต์รับคนต่างด้าวจากสนามบินสุวรรณภูมิมายังที่พัก โดยผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ ทั้งนี้พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นที่ น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของ ประชาชนหรือความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 12 (7) อย่างไรก็ตามลังจากนี้จะผลักดันทั้งหมดกลับประเทศ พร้อมสั่งการให้ชุดสืบสวนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองขยายผลขบวนการดังกล่าวเพราะเชื่อว่ามีคนไทยให้ความช่วยเหลือ

ภายหลังการแถลงข่าว พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการกับบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด หรือโอเวอร์สเตย์ ว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเข้มงวดกวดขันกลุ่มบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยเกินกว่ากฎหมายกำหนด และเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรื่องนี้ทางรัฐบาล โดยพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ดำเนินการตรวจสอบปราบปรามกลุ่มบุคคลดังกล่าวแล้ว อีกทั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการปราบปรามจับกุมกลุ่มดังกล่าวมากถึง 1000 ราย ขณะเดียวกันในส่วนของการควบคุมบุคคลต่างด้าวที่รับโทษ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ดำเนินการควบคุมในห้องกักกัน ภายในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทั้งนี้ในวันนี้เราได้มีการหารือกันทุกภาคส่วน โดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษย์ชนและความเป็นธรรมในการที่ให้ผู้ต้องกักที่ถูกเพิกถอนวีซ่าและถูกควบคุมไว้ภายในห้องกักกันภายในสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่กระบวนการขั้นตอนเสร็จสิ้นคดีความได้เดินทางกลับประเทศภูมิลำเนา โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการหารือกับเอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทยถึงแนวทางการดำเนินการดังกล่าวหลังจากพบว่ามีผู้ต้องจากซึ่งเป็นชาวปากีสถานที่เสร็จสิ้นกระบวนการขั้นตอนกว่า 100 ราย

ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะดำเนินการส่งตัวชาวปากีสถานกว่า 100 ราย กลับประเทศภูมิลำเนาโดยทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะเป็นผู้ออกงบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประกอบกับจะทำให้ห้องกักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะผู้ที่ถูกคุมอยู่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่แออัดจนเกินไป มีสุขลักษณะที่สะอาด โดยภาพรวมห้องกักมีชาวต่างชาติถูกควบคุมอยู่กว่า 1 พันคน ซึ่งวันนี้จะทยอยนำผู้ต้องขังที่เสร็จสิ้นกระบวนความทางคดี ผลักดันกลับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย จีน อินโดนีชีย ปากีสถาน เป็นต้น อย่างไรก็ตามตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาได้มีการระดมกวาดล้างจับกุมบุคคลที่อยู่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ประมาณเกือบพันราย และจะกวาดล้างอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คนไทยมีที่ยืน และบุคคลที่เดินทางเข้ามามีคุณภาพ โดยส่วนตัวเชื่อว่าทุกประเทศก็มีมาตรการเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับการดูแลผู้ที่ถูกควบคุมก็ยึดหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้ในส่วนผู้ควบคุมที่เป็นผู้ลี้ภัยต้องประส่านทางยูเอ็นเอชซีอาร์ ในการดำเนินการส่งตัวกลับ เช่นเดียวกับในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศแต่อยู่เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด ก็จะประสานทางเอกอัครราชทูตของประเทศนั้นๆดำเนินการตามขั้นตอน วันนี้เราจะดำเนินการผลักดันส่งตัวบุคคลที่เสร็จสิ้นคดีกลับประเทศให้ได้มากที่สุด ในส่วนที่ยังไม่เสร็จสิ้นคดีเราจะเร่งรัดคดี ประสานกับพนักงานสอบสวนแต่ละท้องที่ให้ดำเนินการโดยเร็ว