อดีตส.กทม.ตบเท้าให้กำลังใจ “อภิสิทธิ์” ชิงเก้าอี้ หน.ปชป. ลั่นไม่เกรงใจใคร เพราะเหลือเวลาไม่มากพัฒนาประเทศ
เมื่อเวลา 9. 45 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้กลุ่มอดีตส.ส.กทม. นำโดยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางมาให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง พร้อมประกาศสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรค โดยเป็นที่น่าสังเกตว่ามีอดีตส.ส.ที่ลงนามรับรองนายอลงกรณ์ พลบุตร ให้ลงสมัครหัวหน้าพรรคมาร่วมด้วย คือนายกรณ์ จาติกวนิช และน.ส.รัชดา ธนาดิเรก มาร่วมด้วย
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงคำขวัญที่โพสต์ผ่านแอคเคาท์ไลน์แอด ที่มีข้อความว่า Make My Mark ว่าเป็นข้อความของคนรุ่นใหม่ที่จะมาร่วมงานกับพรรคสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยจัดทำเป็นคลิปวีดีโอ ซึ่งมีหลายความหมาย ที่ไม่เกี่ยวกับชื่อตน แต่หมายถึงการมีโอกาสแสดงออก มีส่วนร่วมให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หมายถึงการสนับสนุนตนทำหน้าที่คือการมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่คนในประเทศรอคอยทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ส่วนถ้าเล่นคำว่า Mark เป็นชื่อเล่นตน ก็เป็นการสื่อสารว่ากระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เป็นการสร้างหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วยมือของตัวเอง และสร้างพรรค รวมถึงสร้างใหม่ประเทศไทย ซึ่งการเปิดกระบวนการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคเป็นการยกระดับพรรคการเมืองไทย และทำให้เกิดความชัดเจนเรื่องจุดยืนของพรรค ซึ่งตนอาสานำพรรคในสถานการณ์ที่ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย ให้หลุดพ้นจากปัญหาการไม่เป็นประชาธิปไตยและการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งนี้การแข่งขันภายในพรรคเป็นกระบวนการที่คนภายนอกสนใจว่าเป็นมิติใหม่ของพรรคการเมือง ทำให้หลายคนสนใจอยากมีส่วนร่วม ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่มองว่าการแข่งขันมีความขัดแย้งนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เชื่อว่าประชาชนมองว่าเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตย ซึ่งต่อไปจะมีการตั้งคำถามกับพรรคการเมืองอื่นว่าเหตุใดไม่ใช้วิธีเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ และยอมรับว่าการเปิดกว้างให้มีการหยั่งเสียงมีความเสี่ยงสำหรับหัวหน้าพรรคของตนในอนาคตแต่ตนไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างระบบจะกลัวความเสี่ยงไม่ได้ เพาะถ้ากลัวจะสร้างอะไรใหม่ๆไม่ได้เลย
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ส่วนที่ตนพูดที่จังหวัดสงขลาว่า อายุ 54 ปีแล้ว ไม่เกรงใจใครแล้ว ก็หมายความอย่างที่ตนพูด เพราะตลอดการทำงานการเมือง 26 ปีที่ผ่านมา ก่อนจะทำอะไรต้องมีความระมัดระวัง แต่ตนมาทำการเมืองด้วยความเชื่อ และอุดมการณ์ พร้อมกับความฝันว่าอยากได้ประเทศไทยอย่างไร และเคยได้รับโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังทำไม่ได้ เพราะเป็นนายกฯพร้อมกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์บ้านเมืองที่ปั่นป่วน แต่ก็กอบกู้วิกฤตและเริ่มต้นบางอย่างได้ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้สร้าง ตนรู้ว่าอายุขนาดนี้แล้วการจะสร้างฝันให้กับประเทศที่เป็นจริงไม่มีเวลามากแล้ว จึงต้องทำไม่มีอะไรที่ต้องลังเลใจหรือเกรงใจใครอีกต่อไป เพราะนี่คือโอกาสใหม่ และโอกาสเดียวที่จะทำให้ตนผลักดันความฝันให้เป็นจริงได้
“ตลอด 26 ปีทางการเมืองผมได้ทบทวนทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง เรื่องความเกรงใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากกการทบทวนตัวเอง และตั้งใจที่จะทำให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากปัญหาตรงนี้ให้ได้ ถ้าไม่ทำครั้งนี้มีโอกาสสูงมากที่ประเทศจะติดหล่มไปอีกนาน ทั้งหล่มเผด็จการ และหล่มทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งของตัวเองคือแม้จะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่ประวัติของผมยืนยันได้ว่าไม่เคยมีเรื่องผลประโยชน์ตัวเอง ของจากผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ และเป็นความเชื่อจากใจที่สุจริตของผมในการทุ่มเท ทำให้มีความพร้อมที่จะนำพาบ้านเมืองออกจากปัญหา”นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่การวิเคราะห์ว่าการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้ไม่เพียงการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์พรรคที่เปลี่ยนไปด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องถามผู้สมัครหัวหน้าพรรคคนอื่นว่ามีแนวคิดเกี่ยวกับแนวทางการเมืองของพรรคอย่างไร แต่ตนชัดเจนว่าอุดมการณ์ของพรรคที่ผู้ก่อตั้งประกาศไว้ตั้งแต่พ.ศ. 2489 เราจะปฏิบัติอย่างจริงจัง
“หลังการเลือกตั้งผมเคยบอกแล้วว่าไม่ควรมาถามพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะร่วมกับใครตั้งรัฐบาล แต่ควรถามคนอื่นว่าจะร่วมกับพรรคประชาธิปัคย์สร้างบ้านเมืองหรือไม่ เพราะเรามีแนวทางที่ชัดเจนและแตกต่าง จากทั้งคสช. และพรรคเพื่อไทย เราจะเป็นทางหลักของประเทศไทยไม่ใช่ไปช่วยหรือไปร่วมกับใครเป็นรัฐบาล โดยไม่สามารถตอบคำถามว่าไปร่วมรัฐบาลแล้วจะทำอะไร เพราะไม่เป็นประโยชน์กับพรรคและประเทศ แต่พรรคจะเป็นทางหลักคือเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีทางเป็นอะไหล่ทางการเมืองให้ใครทั้งสิ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคอะไหล่ แต่เป็นพรรคการเมืองหลัก มีความตรงไปตรงมา และมีความก้าวหน้าในระบบพรรคการเมืองมากกว่าพรรคอื่น ส่วนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบหลังการเลือกตั้ง”นายอภิสิทธ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยตั้งพรรคสาขาเป็นนอมินีทางการเมืองว่า เป็นเรื่องของแต่ละพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์จะทำการเมืองอย่างตรงไปตรงมาไม่มีคิดเรื่องระบบแตกสาขา เพราะต้องตรงไปตรงมากับประชาชน เปิดเผย และโปร่งใส นี่คือทางเลือกที่เราเสนอให้ประชาชน ไม่ว่าใครจะออกแบบระบบอย่างไร ใครจะใช้เล่ห์กลเพื่อหลีกเลี่ยงระบบอย่างไร ประชาชนจะเป็นคนชี้ว่าจะให้พรรคการเมืองไหนใหญ่ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าทุกเสียงมีความหมาย แต่ กกต. ที่เป็นผู้รักษากฎหมายต้องไปดูเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าการมีพรรคนอมินีผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะในกฎหมายมีเจตนารมณ์ค่อนข้างห้ามชัดเจน ไม่ให้พรรคการเมืองไปฮั้วกัน