"ภัยแล้ง" การปรับตัวของเกษตรกรที่ต้องเร่งมือ

นักวิชาการ แนะ ชาวนา เร่งปรับตัวหันปลูกพืชใช้น้ำน้อย รวมถึงเลื่อนเวลาปลูกข้าว รับมือภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังเป็นพื้นที่ที่มีการใช้น้ำชลประทานมากที่สุดในฤดูแล้ง โดยรัฐต้องมีนโยบายสนับสนุนให้ความรู้และเทคโนโลยีแก่เก

ที่ผ่านมาเกษตรกร ชาวนาไทย ทำนาปลูกข้าวทั้งนาปี และนาปรัง เลี้ยงประชากรทั้งในประเทศ  และส่งออกขายยังต่างประเทศ คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่ามหาศาล แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่ผ่านมา เกษตรกรเริ่มประสบปัญหาภัยแล้งหนักขึ้น  ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง และสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก  เนื่องจากขาดแคลนน้ำ  ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเพาะปลูก  โดยเฉพาะเกษตรกรที่อยู่นอกพื้นที่เขตชลประทาน  ต้องหยุดการปลูกข้าวนาปรังเป็นจำนวนมาก  ในขณะที่พื้นที่ในเขตชลประทานเองก็ประสบปัญหาเรื่องน้ำเช่นกัน

สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการตกของฝนที่เลื่อนไปตกในภาคกลางและภาคใต้เพิ่มขึ้น และจำนวนวันที่ฝนตกในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  มีแนวโน้มลดลง และอาจเกิดภาวะฝนแล้งขึ้นได้ในอนาคต  ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ  ทำให้การปลูกข้าวนาปรังลดลงอย่างมาก  แต่พื้นที่ปลูกพืชใช้น้ำน้อยกลับไม่เพิ่มขึ้น แม้รัฐสนับสนุนให้มีการปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทน  จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยใน "โครงการการปรับตัวต่อภาวะภัยแล้งของเกษตรกรทำนาในพื้นที่ชลประทาน พร้อมประเมินโครงการบูรณาการความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบต่อภัยแล้ง" ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ( สกว.) เพื่อศึกษาผลกระทบจากภัยแล้งต่อการทำนาของเกษตรกรในพื้นที่ชลประทาน และศึกษาพฤติกรรมการปรับตัวของเกษตรกรต่อภาวะฝนแล้ง จากกลุ่มเกษตรกรทั้งสิ้น 1,175 ตัวอย่าง ในพื้นที่ชลประทาน 8 จังหวัด ใน 3 ภูมิภาค  ดังนี้ ภาคเหนือ ได้แก่ อุตรดิตถ์  พิษณุโลก พิจิตร  และจังหวัดตาก ภาคกลาง ประกอบด้วย  นครสวรรค์ ชัยนาท  และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น และนครราชสีมา

\"ภัยแล้ง\" การปรับตัวของเกษตรกรที่ต้องเร่งมือ

รศ. ดร.มาฆะสิริ เชาวกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาระบบเศรษฐกิจการเกษตร จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ในฐานะหัวหน้าโครงการ  เปิดเผยว่า  โครงการนี้เป็นการศึกษาข้อมูลการทำนาปรัง และนาปีในพื้นที่เขตชลประทาน การปีเพาะปลูก 2558/2559ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนธันวาคม 2559 และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำย้อนหลัง 10 ปี ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ำและน้ำในเขื่อน  โดยเฉพาะพื้นที่ทำนาซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้งติดต่อกัน 3 ปี และเป็นพื้นที่ที่มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการบูรณาการความช่วยเหลือเกษตรกรของภาครัฐ   

จากการศึกษาข้อมูลระหว่างปี 2550 - 2559 พบว่า ปริมาณน้ำรวมในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดใหญ่ ณ วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี จะลดลงเฉลี่ย 2,363.764 ล้านลบ.ม.ต่อปี  โดยปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ในภาคเหนือลดลงเฉลี่ย 1,102.703 ล้านลบ.ม.ต่อปี  มากกว่าการลดลงของน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ของทุกภาค  และการลดลงของปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่  ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรมในภูมิภาคต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เกษตรกรรมในพื้นที่ชลประทานในเขตภาคเหนือ  ที่ปริมาณน้ำในเขื่อนช่วงต้นฤดูแล้งได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง รองลงมาคือ พื้นที่ชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  และยังส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังพื้นที่ชลประทานในเขตภาคกลาง  ที่สำคัญยังพบว่า พื้นที่ปลูกข้าวนาปรังเป็นพื้นที่ที่มีการใช้น้ำชลประทานมากที่สุดในฤดูแล้ง

นักวิจัย กล่าวว่า "ที่ผ่านมาเกษตรกรชาวนาในพื้นที่เขตชลประทาน จะปลูกข้าวนาปี 1 ครั้ง  และปลูกข้าวนาปรัง ปีละ 2 ครั้ง แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาวนาในพื้นที่ชลประทานส่วนใหญ่เริ่มปลูกข้าวได้น้อยลง  จึงเป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่า  ปัญหาภัยแล้งเริ่มทวีความรุนแรงและต่อเนื่องไปในอนาคต  ดังนั้น ชาวนาจะต้องมีการปรับตัว หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูก เพราะหากไม่ปรับตัวก็จะได้รับผลกระทบอย่างมาก"

จากการศึกษาดังกล่าว พบว่า ตัวแปรพื้นฐาน และตัวแปรเชิงนโยบาย มีผลกระทบสำคัญต่อการปรับตัวของเกษตรกร โดยเฉพาะเรื่องของอายุและระดับการศึกษา ซึ่งเกษตรกรที่มีประสบการณ์ และอายุมากกว่าจะมีการปรับตัวยาก ต่างจากเกษตรกรคนรุ่นใหม่ ที่มีการศึกษาจะยอมรับและพร้อมปรับตัวได้ดีกว่า แต่จำนวนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในพื้นที่มีน้อยเนื่องจากส่วนใหญ่ออกไปทำงานในเมือง  

\"ภัยแล้ง\" การปรับตัวของเกษตรกรที่ต้องเร่งมือ

นอกจากนี้  ยังมีสาเหตุอีกหลายประการที่ทำให้เกษตรกรชาวนายังไม่ปรับตัว จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ 21.4% บอกว่า ไม่มีความรู้ในการปลูกพืชทดแทน รองลงมา 18.8% ไม่มีความรู้ในเรื่องตลาด ส่วน 18.2% ระบุว่า พื้นที่ไม่เพียงพอในการปลูกพืชชนิดอื่น  4.9% มองว่า ราคาพืชผลไม่จูงใจ และสุดท้าย 1.2% ระบุว่า ทางการไม่มีโครงการประกันราคา

ในด้านการปรับตัวของการทำนาต่อภัยแล้งที่เห็นชัดที่สุด จากการศึกษาพบว่า เกษตรกรชาวนามีการปรับการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวในหลายรูปแบบ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดค่าใช้จ่าย โดยมีการใช้ผลผลิตข้าวเปลือกจากฤดูก่อนมาเป็นเมล็ดพันธุ์  มีการเก็บผลผลิตข้าวเปลือกนาปีไว้เพื่อบริโภคในครอบครัว และใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ในครั้งต่อไปมากขึ้น  นอกจากนี้ยังมีการปรับการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวในฤดูการปลูกข้าวนาปีจากข้าวขาวมาเป็นข้าวหอมมะลิ 105 มากขึ้น โดยในปี 2559 มีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิเพิ่มขึ้นถึง 27.2% ของพื้นที่ปีข้าวนาปีทั้งหมด และพบอีกว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานมีการปรับตัวต่อภัยแล้งได้ดีกว่าภาคอื่นๆ  มีการปลูกข้าวไว้บริโภค เช่น จังหวัดขอนแก่นและอุตรดิตถ์  หันมาปลูกข้าวเหนียวไว้บริโภคเองมากขึ้น  และมีการเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะไก่ในช่วงหน้าแล้ง  ซึ่งถือเป็นวิถีชีวิตปกติของคนภาคอีสาน  ต่างจากภาคเหนือที่ปรับตัวได้ค่อนข้างน้อยมาก

นอกจากนี้ การปรับตัวของเกษตรกรที่เห็นได้ชัดอีกด้าน คือ การเลื่อนเวลาเริ่มปลูกข้าวนาปี  จากเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม มาเป็นเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม  ส่วนการปรับตัวไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทนการปลูกข้าวนาปรังนั้น  พบว่า  มีไม่มาก เหตุผลสำคัญคือ ความไม่คุ้นเคยของเกษตรกรกับตลาดพืชทดแทนมากกว่าความไม่รู้ในวิธีหรือเทคนิคการเพาะปลูก

อย่างไรก็ตาม แม้ผลการศึกษาจะพบว่า ชาวนาในเขตพื้นที่ชลประทาน 60%  เริ่มที่จะตระหนักถึงปัญหาภัยแล้งและเริ่มมีการปรับตัว โดยหันไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย อย่าง ข้าวโพด  หรือพืชตระกูลถั่ว แต่ก็ยังมองว่าภาครัฐจะต้องเข้ามาช่วยเหลือ เช่น เรื่องการหาแหล่งน้ำ , การจัดหาเม็ดพันธุ์ที่ใช้น้ำน้อย , การหาตลาดรับซื้อพืชผลทางการเกษตร  ขณะที่ชาวนาอีก 40% ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการเพาะปลูก  ยังคงยึดมั่นในการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว  เพราะมีความถนัดมากกว่าที่จะหันไปปลูกพืชอื่นที่ใช้น้ำน้อย

รศ.ดร.มาฆะสิริ  กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า " เกษตรกรชาวนา ควรจะต้องตระหนักถึงปัญหาภัยแล้งให้มากขึ้น เพราะภัยแล้งเป็นปัญหาในระยะยาว  และมีแนวโน้มที่จะยิ่งทวีความรุนแรงและต่อเนื่อง  เกษตรกรควรเริ่มหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเพาะปลูก ไม่เน้นเพียงการพึ่งพาจากภาครัฐเพียงเท่านั้น  เช่น  ลดพื้นที่ปลูกข้าว หันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยทดแทนในช่วงหน้าแล้ง หรือการหาแหล่งน้ำที่เป็นของตัวเอง  แทนที่จะให้รัฐเข้าไปแก้ปัญหาให้เพียงฝ่ายเดียวเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องนัก  ขณะเดียวกันภาครัฐก็จำเป็นต้องมีนโยบายให้การส่งเสริมและสนับสนุนต่อการปรับตัวของชาวนาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง  นอกจากการหาเมล็ดพันธุ์ หรือหาตลาดรองรับผลผลิต เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรชาวนาหันมาปลูกพืชทดแทนการทำนาปรังแล้ว  ยังรวมถึงการให้ความรู้  และเทคโนโลยี วิธีการเพาะปลูก  โดยเฉพาะกับเกษตรกรรุ่นใหม่  ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ในทางปฏิบัติได้อย่างตรงเป้าหมาย  ซึ่งจะลดการพึ่งพาจากภาครัฐลงไปได้   

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนออีก 3 เรื่อง คือ 1.ให้ภาครัฐสร้างความคุ้นเคยเรื่องตลาดให้กับเกษตรกรและควรให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อยในฤดูแล้ง โดยพาณิชย์จังหวัด ควรจัดเวทีเกษตรกรพบผู้รวบรวมผลผลิต หรือผู้รับซื้อก่อนฤดูการเพาะปลูก เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเกษตรกรกับผู้ต้องการซื้อ ทำให้เกษตรกรได้เริ่มรู้จักตลาด  2. โครงการธงฟ้าปัจจัยการผลิต จะช่วยลดต้นทุนในการผลิตได้ แทนโครงการธงฟ้าสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างเดียว และ 3.โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง ควรเป็นโครงการระดับจังหวัดมากกว่าระดับส่วนกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความล่าช้า และทำให้เกษตรกรได้ชนิดของพืชหรือสัตว์ที่ตนต้องการ