ASAP - ซื้อ

ASAP - ซื้อ

Sharing economy leveraged

สัปดาห์ที่แล้วเราจัด Roadshow โดยได้รับเกียรติจาก คุณทรงวิทย์ ฐิติปุญญา (CEO) และคุณชัยรัตน์ กมลนรเทพ (MD) พูดคุยกับนักลงทุน ผู้บริหารได้ไขข้อสงสัยด้านศักยภาพการเติบโตของบริษัทและภาพตลาดรถเช่าที่ฉายให้เห็นแนวโน้มการเติบโต รวมถึงการจัดการความเสี่ยงของพอร์ตรถเช่าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งเราประเมินว่า ASAP จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปกับเทรนด์ของ Sharing economy เราคาดกำไรจะโตเฉลี่ย 31%/ปี (CAGR) ปัจจุบันหุ้นเทรด PEG ที่ 0.86 เท่า แนะนำ ซื้อ

แนวโน้มสดใส ตามยอดขายรถยนต์ในประเทศ

คาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศในปีนี้จะทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 5 ปี ที่ราว 9.8 แสนคัน และจากการสำรวจภาพอุตสาหกรรมพบว่า ราว 10%ของรถใหม่ในแต่ละปีจะถูกซื้อไปเพื่อทำ fleet รถยนต์ และคาดการณ์ว่ามีรถยนต์ที่ถูกใช้ใน fleet อยู่ราว 4.5 แสนคัน นับว่าเป็นตลาดที่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับพอร์ตของ ASAP ในปัจจุบันที่มีรถเพียง 1.3 หมื่นคัน นอกจากนี้พบว่ามูลค่าตลาดของรถเช่านั้นมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 15%/ปี(2006-17 CAGR) และช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ASAP ขยายพอร์ตรถเช่าในอัตราเฉลี่ย 50%/ปี จนมีรถราว 1.3 หมื่นคันในปัจจุบัน

พัฒนาแพลทฟอร์มออนไลน์ เข้าสู่ Sharing economy เต็มตัว

บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนา Application ของตัวเอง ซึ่งจะพร้อมใช้งานภายในปีนี้ โดยเฟสแรกจะเป็นการให้บริการ ASAP Go (ตอนนี้ ASAP Go ให้บริการบนแพลทฟอร์มของคนอื่น) และเฟสถัดไปจะเป็นการให้บริการสินค้าทุกชนิดของ ASAP เช่น รถเช่าระยะสั้น (ลูกค้าจะสามารถสตาร์ทรถด้วยสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งบริษัทจะประหยัดค่าใช้จ่ายการตั้งเคาเตอร์ในสนามบิน) การซื้อรถยนต์จาก ASAP (ลูกค้าสามารถเลือกรถที่อยู่ระหว่างขาย ภายใต้ชื่อ ASAP ได้ทันที) ซึ่งฟังชั่นเหล่านี้จะช่วยให้ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ให้บริการของ sharing economy อย่างเต็มรูปแบบ

กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

พอร์ตรถเช่าของบริษัทนับว่ามีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เพราะกว่า 95% เป็นการเช่าระยะยาวจากลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่และหน่วยงานรัฐบาล และหากพิจารณากลุ่มลูกค้าองค์กรเอกชนพบว่าบริษัทไม่ได้พึ่งพิงลูกค้ารายใดรายหนึ่งหรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง (ดู Figure1) ซึ่งจะช่วยหนุนให้บริษัทมีการเติบโตได้ต่อเนื่องเพราะคุณภาพพอร์ตที่ดี

ยอดขายรถหมดสัญญาน้อยกว่าคาด

โครงสร้างรายได้ของบริษัทจะเป็นรายได้ค่าเช่ารถยนต์ประมาณ 80% และอีก 20% จะมาจากการขายรถหมดสัญญา ซึ่งในปี 2018-19 การขายรถหมดสัญญาน้อยกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้านี้ เพราะลูกค้าขอต่อสัญญาก่อนที่จะมีการเปลี่ยนรถ  ดังนั้น เราปรับประมาณการกำไรลงจากประเด็นดังกล่าว เราคาดบริษัทจะมีกำไรหลัก 151, 191 และ 256 ในปี 2018-20 ตามลำดับ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 31%/ปี (CAGR) เราปรับราคาเป้าหมายเป็น 8.15 บาท อิง PEG 1 เท่า บน EPS ปี 2019