ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ส.ค.61 สูงสุดในรอบ 8 เดือน

ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ส.ค.61 สูงสุดในรอบ 8 เดือน

ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ส.ค.61 อยู่ที่ 49.8 จาก 48.6 ในก.ค. สูงสุดในรอบ 8 เดือน จากภาคท่องเที่ยว การค้าชายแดนหนุน

เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC CONFIDENCE INDEX : TCC-CI ประจำเดือน ส.ค.61 อยู่ที่ระดับ 49.8 ปรับตัวดีขึ้นจาก 48.6 ในเดือน ก.ค.61 โดยดัชนี TCC-CI ในเดือน ส.ค.นี้ ปรับตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน นับตั้งแต่เริ่มมีการทำสำรวจเมื่อเดือน ม.ค.61 ขณะที่มุมมองต่อดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในอนาคตช่วง 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยอยู่ที่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.3 ในเดือน ก.ค.61

ทั้งนี้ จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประธานกรรมการหอการค้าจังหวัด และกรรมการหอการค้าในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศรวม 378 ตัวอย่าง โดยดำเนินการสำรวจตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.-5 ก.ย.61 พบว่า ปัจจัยที่มีผลในเชิงบวกต่อดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทยในเดือน ส.ค. คือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/61 ขยายตัว 4.6% ส่วนครึ่งปีแรกขยายตัว 4.8% โดยคาดการณ์ทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 4.6%, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50%, ราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวดีขึ้นในบางพื้นที่, การท่องเที่ยวและการส่งออกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง, ความชัดเจนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล การส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตร และพัฒนาผลิตภัณฑ์-บรรจุภัณฑ์ร่วมกันของภาครัฐและเอกชน

อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยที่ส่งผลในเชิงลบต่อดัชนีความเชื่อมั่นฯ เช่น ปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศ, การขยายตัวของเศรษฐกิจยังกระจุกตัวอยู่ในเขตเมือง, ความไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว, การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ, เกษตรกรขาดแคลนปัจจัยการผลิตในการบำรุงพืชผลทางการเกษตร และปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศ เป็นต้น

อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาค แยกได้ดังนี้ 1. กรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าการบริโภคของประชาชน และสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีความกังวลต่อปัญหาแรงงานต่างด้าวและกฎหมายที่เข้มงวด, ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภาคธุรกิจยังอยู่ในระดับที่ไม่จูงใจต่อการลงทุน อีกทั้งสถาบันการเงินยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ 2. ภาคกลาง พบว่า การส่งออกสินค้าผ่านแดนเพิ่มขึ้น การท่องเที่ยวขยายตัวในช่วงวันหยุดเทศกาล และราคาสินค้าเกษตรบางรายการปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ยังพบปัญหาว่าประชาชนมีค่าครองชีพที่สูงขึ้น, ต้นทุนปัจจัยการผลิตทางการเกษตรมีราคาแพง รวมทั้งเกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ท่องเที่ยว เป็นต้น

3. ภาคตะวันออก ได้รับปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นการท่องเที่ยวในภูมิภาค, กิจกรรมการส่งออกสินค้าทั้งแนวชายแดน และท่าเรือขนส่งสินค้า, ความต้องการสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยกดดันในเรื่องความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในด้านความปลอดภัยที่ลดลง, การขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม และประชาชนมีการใช้จ่ายลดลง 4. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปัจจัยบวกที่สำคัญจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น การส่งเสริมและการจัดหาตลาดสินค้าเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตลอดจนการพัฒนาเมือง และการส่งเสริมเศรษฐกิจเมืองในจังหวัดสำคัญของภาคอีสาน

5. ภาคเหนือ พบว่าการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น โดยมีการลงทุนในโครงสร้างโลจิสติกส์ เพื่อสร้างการเชื่อมโยงกับประเทศในกลุ่มลุ่มน้ำโขง นอกจากนี้การท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาลยังมีเพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ยังมีความกังวลต่อปัญหาขาดแคลนแรงงานและอุปสรรคในการจดทะเบียนแรงงาน และปัจจัยกดดันจากผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม และภัยธรรมชาติอื่นๆ รวมทั้งราคาปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่สูงขึ้น 6. ภาคใต้ ได้รับปัจจัยหนุนจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมในพื้นที่ภาคใต้ การท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง และราคาสินค้าเกษตรบางรายการปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยังมีความกังวลในปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่ลดลง ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล และการจ้างงานลดลง โดยเฉพาะแรงงานในภาคประมง

"ที่เราเคยกังวลว่าเศรษฐกิจมหภาคฟื้นตัว แต่ในภาคประชาชนยังบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นนั้น ผลสำรวจในครั้งนี้ได้เห็นแล้วว่า เป็นครั้งแรกที่ดัชนีปรับตัวอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น โดยในแต่ละภูมิภาคเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน เพียงแต่อาจจะยังฟื้นตัวไม่เท่ากัน นำโดยภาคตะวันออก และกรุงเทพฯ ปริมณฑล เนื่องจากแต่ละภูมิภาคมีปัจจัยบวก ปัจจัยลบที่แตกต่างกันไป จึงทำให้การกระจายตัวทางเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคยังไม่เท่ากัน" นางเสาวณีย์ กล่าว

พร้อมเชื่อว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในเดือนถัดไป มีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการคลายล็อคทางการเมือง ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจได้อีกทาง