ฉีด 'ฟิลเลอร์' สวยได้ แต่อันตรายถ้าไม่ให้แพทย์ดูแล

นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้คนทั้งเพศชายและหญิงหันมาใส่ใจเรื่องความสวยงามและการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ความเสื่อมของร่างกายตามอายุเป็นปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมากต่อความสวยงามของร่างกาย โดยเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้นจะพบว่ามีความเสื่อมของผิวหนังทั้งในส่วนของคอลลาเจน (Collagen) อีลาสติน (Elastin) ชั้นไขมัน (Subcutaneous fat) และยังพบการเสื่อมของกระดูกอีกด้วย ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้มีผลทำให้เกิดปัญหาเรื่องริ้วรอยความเหี่ยวย่นตามมา การแก้ปัญหาดังกล่าวมีหลายวิธี เช่น การผ่าตัด การฉีดโบท็อก การฉีดฟิลเลอร์ รวมถึงการทำเลเซอร์ต่างๆ เป็นต้น

แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การชะลอและแก้ปัญหาเรื่องริ้วรอยและความเหี่ยวย่นมีหลายวิธี แต่ที่นิยมคือการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) ซึ่งมีลักษณะคล้ายเจล ใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มลดความหย่อนคล้อย รวมทั้งริ้วรอยทั้งชนิดตื้นหรือลึกของผิวหนัง อีกทั้งสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับเปลี่ยนรูปร่าง หรือรูปทรงโดยเฉพาะใบหน้า นอกจากนี้ยังนำมาใช้แก้ปัญหาการไม่เท่ากันของใบหน้าได้อีกด้วย ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ไฮยาลูโรนิค แอซิด ที่มีอยู่ในร่างกายของคนเรา และสารดังกล่าวเมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายจะค่อยๆสลายตัวไปอย่างช้าๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานประมาณ 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของสารดังกล่าว แต่เนื่องจากการฉีดฟิลเลอร์มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงมีคนที่แอบอ้างรับฉีดฟิลเลอร์ปลอมซึ่งมักใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดภัยมาใช้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น เชื้อเอดส์ เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี นอกจากนี้ยังอาจแพ้สารที่ใช้ฉีด ทำให้ผิวหนังเป็นก้อนไม่สม่ำเสมอ มีการผิดรูปของใบหน้าหรือส่วนที่ฉีด ซึ่งอาจเป็นมากถึงขั้นเสียโฉม และที่สำคัญอาจเกิดปฏิกิริยากับสารที่ฉีด ถ้าผู้ฉีดไม่มีความรู้จะยิ่งทำให้เกิดอันตรายตามมาถึงขั้นตาบอดและเสียชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อต้องการฉีดฟิลเลอร์ควรหาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ เพื่อความคุ้มค่า สวยงาม ปลอดภัยและให้ได้ประโยชน์สูงสุดในการรักษา