‘ไอแซค ซวี่’ ดัน ซิสลิงค์ บูม ‘สมาร์ทโฮม’ ไทย

‘ไอแซค ซวี่’ ดัน ซิสลิงค์  บูม ‘สมาร์ทโฮม’ ไทย

อีก 5 ปีสมาร์ทโฮมจะยกระดับจากไอโอที ไปสู่ความอัจฉริยะที่มากขึ้นด้วยเอไอ

การลงทุนพัฒนา “สมาร์ทโฮม” และ “โฮมออโตเมชั่น” ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาเป็นดาวเด่นของวงการไอที รับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่การใช้ชีวิตติดอยู่บนดิจิทัล ทุกอย่างต้องสะดวก สมาร์ท หรือยิ่งไปกว่านั้นทำงานได้อัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องคอยสั่งการ

ไอแซค ซวี่ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิสลิงค์ เทคโนโลยี จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชั่นอาคารอัจฉริยะ กล่าวว่า ในประเทศไทยการลงทุนพัฒนาสมาร์ทโฮม โฮมออโตเมชั่น รวมไปถึงอาคารอัจฉริยะ(Smart Building) มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง สอดรับไปกับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกในการใช้ชีวิตและอยู่อาศัย ขณะเดียวกันรับปัจจัยบวกจากความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานไอทีและโทรคมนาคม สัดส่วนการเข้าถึงโมบายที่สูงมาก อีกทางหนึ่งผู้บริโภคไทยเปิดรับการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่นคลาวด์ อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์(ไอโอที)

นอกจากนี้ ยังมีแรงหนุนจากเทรนด์ระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความสามารถของระบบที่สามารถใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่น หน้าจอสัมผัส หรือการสั่งงานด้วยเสียง(Voice Control) เอื้อให้การใช้งานทำได้ง่าย ไม่ซับซ้อนจนเกินไป

ขณะที่ ความง่ายในการติดตั้งระบบเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้ใช้งาน(End User) สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น สุดท้ายการแข่งขันในธุรกิจก่อสร้าง และวงการอสังหาริมทรัพย์ผลักดันให้บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยให้กับลูกค้าเพื่อสร้างจุดแข็งทางการตลาด

“ผมเชื่อว่าตลาดไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้แบบก้าวกระโดด จากปัจจัยบวกการขยายตัวของวงการก่อสร้างทั้งในภาคที่อยู่อาศัย ภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่มีการสร้างโรงแรม ค้าปลีกที่พัฒนาห้างสรรพสินค้า ตลอดจนการพัฒนาของเมือง ทุกวันนี้สมาร์ทโฮมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตลาดระดับบน ทว่าเริ่มลงมาสู่ระดับกลางและล่างบ้างแล้ว”

ชิงดำตลาดหมื่นล้าน

เขากล่าวว่า ปี 2561 มีการคาดการณ์ว่าตลาดรวมสมาร์ทโฮมเอเชียแปซิฟิกจะมีมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ และขยับไปถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2563 ส่วนตลาดไทยปีนี้คาดว่ามูลค่าการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับสมาร์ทโฮม ไอโอที และระบบอัตโนมัติภายในอาคารจะมีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับเทรนด์เทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเป็นการยกระดับจากการปรับใช้ไอโอที ไปสู่ความอัจฉริยะที่มากขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) โดยจะมีการประยุกต์ใช้บิ๊กดาต้าเพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้าเชิงลึก

ที่น่าสนใจ จากปัจจุบันที่สั่งงานผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น หรือ คำสั่งเสียง ต่อไประบบจะสามารถทำงานได้เองโดยอัตโนมัติ พร้อมๆ ไปกับการเก็บข้อมูลเชิงบิ๊กดาต้าเพื่อทำให้การประมวลผลและสั่งการทำได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

ซิสลิงค์เริ่มทำธุรกิจบริการโซลูชั่นไอโอที สมาร์ทโฮม และอาคารอัจฉริยะในไทยมาตั้งแต่ปี 2556 จากประสบการณ์การทำตลาดมากว่า 6 ปี พบว่า ฟังก์ชั่นที่ทางลูกค้าให้ความสำคัญอย่างมากคือ ระบบควบคุมไฟ(Lighting Control), ระบบควบคุมอากาศ(Climate Control), ระบบควบคุมการเข้าออก(Access Control), และระบบรักษาความปลอดภัย(Smart Security)

โดยงบประมาณที่ใช้ในการติดตั้งจะขึ้นอยู่กับขนาดของอาคารที่พักอาศัย จำนวนของอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ และความซับซ้อนของระบบ เบื้องต้นต่ำสุดจะอยู่ที่ 1 หมื่นบาท ไปจนถึงระบบใหญ่มูลค่าหลายสิบล้านบาท

ผลสำรวจโดยอีโคโนมิค อินเทลลิเจนซ์ เซ็นเตอร์(อีไอซี) ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า 87% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า อุปกรณ์สมาร์ทโฮมมีผลกับการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย 77% อยากให้มีระบบเตือนภัยอัจฉริยะ และ 73% ต้องการระบบที่ช่วยควบคุมไฟฟ้าและจัดการพลังงาน

มุ่งบริการครบวงจร

ผู้บริหารซิสลิงค์เผยว่า แนวทางธุรกิจมุ่งบริการทั้งด้านอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ โซลูชั่น และแอพพลิเคชั่น โดยให้คำปรึกษาลูกค้าตั้งแต่ช่วงออกแบบระบบ แนะนำการลงทุนที่เหมาะสม รวมไปถึงการปรับแต่งระบบ บริการหลังการขาย และการพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีด้านที่อยู่อาศัย(Prop Tech)

ด้านการจัดจำหน่าย มี 2 รูปแบบ หากเป็นโครงการจะมีทีมเข้าไปพูดคุยกับลูกค้าโดยตรง ส่วนค้าปลีกที่จำหน่ายอุปกรณ์ไอโอทีและสมาร์ทโฮมทำผ่านไอสตูดิโอบายคอปเปอร์ไวร์ด การตลาดมีการออกบูธงานอีเวนท์เพื่อเพิ่มการรับรู้ให้กับตลาด เช่นล่าสุดเข้าร่วมงาน ไทยแลนด์ ไลท์ติ้ง แฟร์ 2018 ซึ่งจะจัดขึ้นพร้อมกับงาน ไทยแลนด์ บิลดิ้ง แฟร์ 2018 ระหว่างวันที่ 8-10 พ.ย.2561 เพื่อโชว์เคสนวัตกรรมอาคารอัจฉริยะ จับกลุ่มเป้าหมายผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นักออกแบบ และสถาปนิก

ปัจจุบัน ซิสลิงค์ มีฐานลูกค้าในไทยกว่า 30 ราย สัดส่วน 90% เป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมีเนียม ที่เหลือ 10% เป็นบ้านส่วนตัว ตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้ผลประกอบการโดยรวมจะเติบโตได้ถึง 500%

“ขณะนี้ผู้เล่นหลักในวงการอสังหาฯ ล้วนเป็นลูกค้าของเรา มั่นใจว่าเป็นผู้ให้บริการที่ลูกค้านึกถึงเป็นอันดับแรกๆ เมื่อต้องการพัฒนาระบบอัตโนมัติ จุดต่างสำคัญคือ การบริการที่ครบวงจร มีความยืดหยุ่น สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ ทั้งเป็นระบบเปิดไม่ปิดกั้นหากลูกค้าจะไปใช้บริการผู้ให้บริการรายอื่น”