'ประยุทธ์' ปลื้มไทยคว้าแหล่งเที่ยววัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ดีที่สุด

'ประยุทธ์' ปลื้มไทยคว้าแหล่งเที่ยววัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ดีที่สุด

"ประยุทธ์" ปลื้มท่องเที่ยวเมืองผู้ดี ยกไทยเป็นแหล่งเที่ยววัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ดีที่สุด มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศทุกมิติ

เมื่อวันที่ 14 ก.ย.61 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า มีเรื่องที่น่ายินดี ประเทศไทยได้รับเกียรติให้ชนะการโหวต จากเวที “Travel Bulletin” รางวัล STAR AWARDS 2018 จากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในสหราชอาณาจักร ยกให้ประเทศไทย เป็น “แหล่งท่องเที่ยวทาง วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์” ที่ดีที่สุด และอันดับ 2 ในประเภท “หลักสูตรการฝึกอบรมออนไลน์” เพื่อสนับสนุนกิจกรรมและบริการด้านการท่องเที่ยวซึ่ง รางวัล STAR AWARDS 2018 เป็นรางวัลที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับมากว่า 20 ปี ถือเป็นภาพพจน์ดีๆ ของประเทศไทย ในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะเมื่อปราศจากความขัดแย้งทางการเมืองบนท้องถนน มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นทำรายได้จาก 1.14 ล้านล้านบาท ในปี 2557 และคาดว่าจะสูงถึง 2 ล้านล้านบาท ในสิ้นปีนี้

พร้อมกันนี้ นายกฯย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมาโดยตลอด ซึ่งตลาดภายในประเทศ ส่งเสริมให้ “ไทยเที่ยวไทย” เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ลงท้องถิ่น เกิดการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในทุกระดับ และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ สำรวจความเรียบร้อยอย่าเอารัดเอาเปรียบ ตลอดจนเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวด้วย นอกจากนี้ ในส่วนของการกระจายรายได้ และการส่งเสริมอาชีพในท้องถิ่น รัฐบาลยังส่งเสริมวงจรเศรษฐกิจในระดับฐานรากให้กระจายทั่วทั้งประเทศ โดยการตั้ง “ตลาดประชารัฐ” เพื่อให้เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่มีสถานประกอบการได้มีพื้นที่ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าในตลาดประชารัฐ 10 ประเภทที่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้กว่า 1,200 ล้านบาท ตลอดจน เปิดโอกาสให้เกษตรกรที่มีศักยภาพ สร้างงาน สร้างรายได้ ในระดับฐานรากได้ โดยไม่ต้องหวังพึ่งเงินจากกิจกรรมสีเทา มาหล่อเลี้ยงวงจรเศรษฐกิจของชุมชน สำหรับการแก้ปัญหาเรื่องยางพารา และพืชผลเกษตรชนิดอื่น ๆ ที่อาจจะมีราคาตกต่ำ รัฐบาลกำลังหารือกับทุก ๆ ฝ่าย ช่วยกันคนละไม้ละมือ เชื่อว่าจะประสบผลสำเร็จ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาเราคงได้ยินข่าวเกี่ยวกับ การเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่อค่าเงิน ราคาหุ้น และราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ในหลายประเทศกำลังพัฒนา อาทิ วิกฤตในประเทศเวเนซุเอลา, อาร์เจนติน่า ,ตุรกี เป็นต้น แต่ ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ประเทศไทย ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะประเทศของเรามีบทเรียนจากปี 2540 ที่ทุกภาคส่วนของประเทศ ตั้งอยู่บนความพอเพียง มีความพอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันส่งผลให้มีความเข็มแข็งในทุกภาคส่วน รวมถึงมีปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศ ในระดับที่สูงเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งสูงมาก เมื่อเทียบกับ ขนาดเศรษฐกิจของไทย และเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศของไทย ความแข็งแกร่งนี้ และ ฐานะการคลังของไทย อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมเข้มแข็ง ช่วยให้นักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ มีความมั่นใจ

ทั้งนี้ นายกฯ เน้นย้ำว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ต้องดูแลให้ครบทุกมิติ ทุกระดับ ทั้งภาพเศรษฐกิจมหภาค และจุลภาค ที่มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งในปัจจุบัน ระดับมหภาคของประเทศดีขึ้น อย่างชัดเจน โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 0.9 ในปี 2557 มาอยู่ที่ ร้อยละ 4.7 ในครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือ การกระจายการเติบโตในด้านมหภาค มาสู่จุลภาค มาสู่ประชาชน และธุรกิจรายย่อย ผู้มีรายได้น้อยให้ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจในการจะแสวง หาแนวทาง และริเริ่มมาตรการใหม่ๆ เพื่อนำมาดูแลในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง และจริงจัง เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ร่วมกันอย่างทั่วถึงให้มากที่สุด

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า นอกจากการพัฒนาแรงงานฝีมือแล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรม – สิ่งประดิษฐ์ ไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ผ่านมา ได้มีการเห็นชอบให้ออกกฎหมายส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย ได้มีการประกาศใช้เป็นเวลานานแล้ว ดังนั้น เมื่อกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว มหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย จะได้เป็นเจ้าของผลงานวิจัย และสามารถถ่ายทอดเทคโนโลยี การทำสัญญา อนุญาตให้ใช้สิทธิ ไปยังภาคเอกชนเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้า บริการ และออกขายในตลาด ต่อไปจะสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว คล่องตัวมากขึ้น ตลอดจน จะเกิดแรงจูงใจในการสร้างผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ตรงกับความต้องการของภาคการผลิต และภาคบริการ หรือ นำผลงานวิจัยนั้นไปต่อยอด และทำธุรกิจต่อไปได้

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า มีความเชื่อมั่น กฎหมายฉบับนี้ จะสนับสนุนให้เกิดระบบนวัตกรรมที่สมบูรณ์ ส่งเสริมให้เกิด Startup จำนวนมาก ที่จะขับเคลื่อนธุรกิจนวัตกรรมมากขึ้น มีสินค้าและบริการ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง นำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และ ที่สำคัญจะทำให้เห็นว่าการลงทุนด้านการวิจัย ที่รัฐได้ให้งบประมาณสนับสนุนไปนั้น คุ้มค่าและไม่สูญเปล่า สามารถจะสร้างให้เกิดรายได้แก่ประชาชนคนไทย สร้างให้เกิดวัฒนธรรมการแข่งขันกัน ด้วยความรู้ และเทคโนโลยี ก็จะเกิดเป็นสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ที่แท้จริง

ทั้งนี้ นายกฯทิ้งท้ายว่า “การปฏิรูป” คือ การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น จะต้องเริ่มจากตนเองก่อน ต้องหาความรู้ ต้องไม่หยุดพัฒนาตนเอง โดยเคยได้ยินคำพูดจากเกษตรกรบางคน ที่เคยมีรายได้น้อย จากการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม แต่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เริ่มลงมือทำโดยมีข้อมูล – คำแนะนำที่ถูกต้อง ถ้าทุกคนมัวแต่กลัว บ่น ไม่พอใจ ก็จะยึดติดกับวิถีเดิมๆ แล้วเราก็จะไม่มีทางดีขึ้น ได้อย่างแน่นอน