'สิงห์ เอสเตท' จับตลาดเศรษฐีพันล้าน ผุดคฤหาสน์หรู 300 ล้าน 

'สิงห์ เอสเตท' จับตลาดเศรษฐีพันล้าน ผุดคฤหาสน์หรู 300 ล้าน 

กำลังซื้อเศรษฐีแรงไม่ตก "สิงห์ เอสเตท" เดินหน้าปั้นแฟล็กชิพโปรเจค สร้างแบรนด์บ้านเดี่ยวสุดหรู "สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส" จับกลุ่มเป้าหมายคนรวยมีสินทรัพย์ "พันล้านบาท" ราคาขายหลังละ 245-360 ล้านบาท

การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ในหลายปีที่ผ่านมา ขยายอาณาจักรจากเครื่องดื่มเบียร์ที่มียอดขาย “แสนล้านบาท” สู่ธุรกิจอาหาร, อสังหาริมทรัพย์, โลจิสติกส์ ฯ เริ่มเห็นการเติบโตในธุรกิจใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะอสังหาฯ ที่นอกจากซื้อและควบรวมกิจการโรงแรม ยังพัฒนาโปรเจคใหม่ๆต่อเนื่อง งัดแลนด์แบงก์ที่มี ซื้อเพิ่ม เพื่อก้าวสู่เป็น 1 ในผู้เล่นยักษ์ใหญ่ของแวดวงอสังหาฯเมืองไทย

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรีแบรนด์ใหม่ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” บนเนื้อที่ 45 ไร่ บนนถนนประดิษฐ์มนูธรรม จำนวน 25 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ราคาขายตั้งแต่ 245-360 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวบริษัทต้องการปั้นให้เป็นผลงานชิ้นเอก เป็นแบรนด์และโปรดักท์เรือธงหรือแฟล็กชิพของบริษัทที่เป็นบ้านเดี่ยวราคาแพงสุด มีคุณภาพที่ดีในเขตกรุงเทพฯ และลูกบ้านที่จะเข้ามาอาศัยในโครงการแห่งนี้จะต้องผ่านการพิจารณาและคัดสรรคุณสมบัติที่เหมาะสมเสียก่อน

โอนที่จากบุญรอดเมื่อ 4ปีก่อน

ทั้งนี้ ที่ดินดังกล่าวที่นำมาพัฒนา ถือเป็นที่ดิน 1 ใน 3 แปลงแรกของบริษัท ซึ่งได้รับโอนมาจากบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ เมื่อ 4 ปีก่อน และถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงมาก การคมนาคมใกล้กับทางด่วน มีห้างค้าปลีกรายล้อมในรัศมีใกลเคียง

ขณะที่การใช้แบรนด์ “สันติบุรี” มาใช้ เพราะมั่นใจในแบรนด์ ชื่อเสียง ตลอดจนความใส่ใจในรายละเอียดของเจ้าของและผู้ก่อตั้งแบรนด์คือ “นายสันติ ภิรมย์ภักดี” แม่ทัพใหญ่ของกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ และผู้ก่อตั้ง เจ้าของแนวคิดในการสร้างอาณาจักร “สิงห์ เอสเตท” ขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

“สิงห์ เอสเตท ยังคงเดินตามนโยบายในการก้าวสู่การเป็น Leading Premiere Brand มุ่งส่งมอบบ้านคุณภาพ พิถีพิถัน ใส่ใจรายละเอียด นี่คือแบรนด์สิงห์ และยังสอดคล้องกับดีเอ็นเอ ที่ถ่ายทอดจากแบรนด์สิงห์ จากคุณสันติ ซึ่งเเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ผู้ก่อตั้งบริษัท และเป็นเจ้าของแนวคิดในการพัฒนาอสังหาฯ ”

ยันกำลังซื้อเศรษฐีไม่ตก 

นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หากมองภาพรวมอสังหาฯ ปีนี้ตลาดเซ็กเมนต์ระดับบนยังขยายตัวได้ เพราะเศรษฐียังคงมีกำลังซื้อ แม้ที่ผ่านมาจะมีปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สงครามการค้า ตลาดหุ้นมีความผันผวน แต่ไม่ได้ส่งผลให้เศรษฐีรวยน้อยลง เพียงแต่เป็นปัจจัยที่กระทบความเชื่อมั่นบ้างเล็กน้อย

สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาฯบนที่ดิน 45 ไร่แปลงนี้ เดิมจะปั้นบ้านเดี่ยวระดับบน ที่ราคาไม่แพงนัก แต่บริษัทได้ปรับแผนใหม่ใช้ศักยภาพที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะในอนาคตบนถนนประดิษฐ์มนูธรรมจะมีรถไฟฟ้าสายต่างๆ เช่น สีชมพู เปิดใช้ภายใน 2 ปีข้างหน้า สายสีน้ำตาลที่กำลังศึกษาความเป็นไปได้ และสายสีเทาจะผ่านหน้าโครงการ เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทต้องการปั้นโปรเจคสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซสให้เป็นแฟล็กชิพ เพื่อต่อยอดโครงการแนวราบที่เป็นบ้านเดี่ยวหรูระดับราคา 100 ล้านบาทโครงการอื่นๆเพิ่ม

ชุมชนมหาเศรษฐีหมื่นล้าน

ทั้งนี้ โครงการสันติบุรี เรสซิเดนเซส มีจำนวน 25 ยูนิตเท่านั้น แต่ละหลังจะปลูกบนเนื้อที่ 1 ไร่ ภายใต้แบบบ้าน 3 แบบ ซึ่งลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนหรือเทเลอร์เมดได้ตามต้องการ ด้านจุดเด่นของโครงการนอกจากความเป็นส่วนตัว การดูแลความปลอดภัยแล้ว จัดการเก็บขยะให้โดยไม่ต้องรอหน่วยงานรัฐ เพื่อให้ลูกบ้านมีความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการให้คนนอกเข้ามาในพื่นที่ การที่ลูกค้าจะเข้ามาซื้อบ้านในโครงการแห่งนี้จะต้องผ่านการพิจารณาคุณสมบัติก่อน ประวัติไม่ด่างพร้อย เพื่อไม่ให้การอยู่อาศัยต้องรบกวนเพื่อนบ้าน เพราะเศรษฐีต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และลูกค้าที่มีศักยภาพจะซื้อโครงการแห่งนี้ได้ เบื้องต้นประเมินว่าต้องมีสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่า 25 หลังที่ขาย จะเป็นแหล่งรวมเศรษฐีหมื่นล้านบาท

“เราได้วิจัยเชิงด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเศรษฐีกว่า 20 คน เพื่อถามความต้องการเชิงลึกหรืออินไซต์เกี่ยวกับการอยู่อาศัยบ้าน ซึ่งปัญหาหรือ Pain point ที่ผู้บริโภคพบว่าคือไม่สามารถเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบบ้าน ที่ดินมาแบบไหนก็ต้องกำหนดสร้างบ้านตามที่ผู้พัฒนาโครงการกำหนด การเจรจากับผู้อยู่อาศัยและโครงการโดยรอบ กรณีก่อสร้างบ้านเอง เป็นต้น”

บ้านเดี่ยวทุบสถิติแพงสุด

สำหรับโครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ยกชั้นว่าเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวแพงสุด จากโครงสร้างของราคา ดังนี้ ราคาที่ดิน 1 ไร่ มูลค่า 120 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 3 แสนบาทต่อตารางวา ที่เหลือเป็นมูลค่าของการก่อสร้าง บ้านออกแบบโดยสถาปนิกไทยชื่อดังอย่าง A49 มีการนำสถาปัตยกรรมแบบลักชัวรี โมเดิร์น ทรอปิคอลมาใช้ เพื่อสอดคล้องกับสภาพอากาศของประเทศไทย ส่วนวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ภายในบ้าน ล้วนเป็นท็อปแบรนด์ เช่น สุขภัณฑ์แบรนด์ Villeroy & Boch, ตู้เย็น SUBZERO,เครื่องชงกาแฟและตาอบ WOLF เป็นต้น

“แบรนด์ที่ใช้ไม่สำคัญเท่ากับฟังก์ชันที่เราให้ลูกค้า เพราะลูกค้าระดับบนที่เป็นมหาเศรษฐี ต่อให้ใช้ก๊อกน้ำแบรนด์ดัง แต่ต้องรอน้ำร้อน 3 นาที ก็ไม่ตอบโจทย์ความต้องการแล้ว ดังนั้นน้ำจะต้องร้อนทันที”

จองแล้ว3หลังมูลค่าพันล้าน

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว ได้เปิดให้ลูกค้าจับจองและเข้าคิวเยี่ยมชมโครงการแล้วไม่ต่ำกว่า 100 คน และล่าสุดได้มียอดจองแล้ว 3 หลัง มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท หนึ่งในนั้นเป็นทายาทเจเนอเรชั่น 4ของตระกูลภิรมย์ภักดี(รุ่นเดียวกับภูริต-ปิติ ภิรมย์ภักดี) โดยลูกค้าใช้เวลาไม่ถึง 1 เดือนในการตัดสินใจซื้อ

“เวลาเศรษฐีจะตัดสินใจซื้อบ้าน สิ่งแรกที่ให้ความสำคัญคือเรื่องของทำเล เพราะทำเลเปลี่ยนไม่ได้ แต่แบบบ้านเปลี่ยนได้ ขณะที่เศรษฐกิจที่อยู่กรุงเทพฯโซนตะวันออก ก็จะอยู่ในโซนนั้น ไม่ค่อยข้ามโซน แต่การบุกตลาดบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักชัวรีครั้งนี้ เราต้องการกลุ่มลูกค้าเศรษฐีข้ามโซนมาอยู่เหมือนกัน”

สำหรับโครงการดังกล่าวเปิดให้ลูกค้าเยี่ยมชมและจองอย่างเป็นทางการแล้ว หลังทำตลาดคาดว่าภายใน 1 ปีจะปิดการขายหมด และจากนั้นคาดว่าใช้เวลาอีกราว 1 ปีเศษเพื่อก่อสร้างจนแล้วเสร็จ โดยรายได้จากโครงการจะมาจากค่าที่ดิน ซึ่งปีนี้คาดว่ารับรู้ราว 600-700 ล้านบาท ที่เหลือจะรับรู้เป็นค่าก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโปรเจคบ้านเดี่ยวสุดหรูหราครั้งนี้ บริษัทมุ่งหวังในเรื่องของการสร้างแฟล็กชิพแบรนด์ แฟล็กชิพโปรดักท์ สร้างโปรไฟล์และความเชื่อมั่นให้แบรนด์ที่มีต่อผู้บริโภคในตลาดบน ส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ในอัตราทั่วไปไม่ต่ำกว่า 30% แต่กำไรสุทธิคาดว่าไม่อยู่ในระดับสูงนัก