“พีพีทีวี” ฮึดสู้ทีวีดิจิทัล พลิกคืนทุนธุรกิจ3ปี

“พีพีทีวี” ฮึดสู้ทีวีดิจิทัล พลิกคืนทุนธุรกิจ3ปี

4 ปีผ่านไป ธุรกิจทีวีดิจิทัล 22 ช่อง ส่วนใหญ่แล้วยัง “กลืนเลือด” เพราะยังเผชิญภาวะ “ขาดทุน” ทำให้หลายค่ายต่างปรับกลยุทธ์หลายระลอกเพื่ออยู่รอด แต่ก็ยังสาหัส และมีเพียง 5 อันดับแรกที่เรทติ้งสูงสุด ยังพอเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ถึงจุดคุ้มทุน

พีพีทีวี 36 แม้จะมีเจ้าของเป็นนายทุนใหญ่อย่าง นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ” แต่ 4 ปีบนสงครามจอแก้ว บริษัทยังคงแบก ขาดทุนหลัก พันล้านบาทต่อปี โดยตัวเลขของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ปี 2560 พีพีทีวี ขาดทุนอยู่ราว 2,000 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนหน้าขาดทุน 1,900 ล้านบาท

ทว่า เมื่อลงสู่สังเวียนแล้วต้องสู้ จึงเห็นการปรับกลยุทธ์แจ้งเกิดช่อง ดันเรทติ้งและรายได้ให้ขยับขึ้นแถวหน้าให้ได้ !

ล่าสุด สุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์ บรอดคาสติ้ง จำกัด ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ PPTV HD 36 ออกมาฉายภาพธุรกิจ พาช่องมุ่งสู่ “จุดคุ้มทุน” ให้ได้ภายใน 3 ปีจากนี้ บนเป้าหมายดันเรทติ้งต้องติด “ท็อป5” ให้ได้

กลยุทธ์ที่จะไปถึงจุดนั้น คือการหาคอนเทนท์เด็ด โดนใจ มาสะกดคนดูหน้าจอทีวีให้ได้เป็นอันดับแรก จึงเห็นการ “ดูด” พันธมิตร ตลอดจน “รายการ” ใหม่ๆเข้ามาเสริมทัพในช่วงเวลาต่างๆ ที่ยังเป็นจุดอ่อน ไปพร้อมกับการเสริมจุดแข็ง

เดอะวอยซ์ และ เดอะ เฟซเมน ไทยแลนด์เป็นคอนเทนท์วาไรตี้ใหม่แกะกล่องที่เพิ่งย้ายจากช่อง 3 มาอยู่พีพีทีวี 36 โดยเล็งไว้ว่าจะออกอากาศในช่วงนาทีทองหรือไพรม์ไทม์ของวันจันทร์-ศุกร์ ไม่ใช่เสาร์-อาทิตย์เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเดินตามทิศทางคนดูและคอนเทนท์ระดับโลกที่ออกอากาศไพรม์ไทม์

การดึงคอนเทนท์แม่เหล็กมาตรึงคนดู บริษัทใช้งบลงทุนราว 500 ล้านบาท แน่นอนว่าไฮไลท์คือ รายการเดอะวอยซ์ จาก Talpa Media Holding ทั้ง 3 รายการ ได้แก่ เดอะวอยซ์ ไทยแลนด์ 2018, เดอะ วอยซ์คิดส์ และเดอะวอยซ์ ซีเนียร์ ซึ่งจะออกอากาศปีละ 3 รายการ รวม 3 ปี 9 รายการ และเล็งนำคอนเทนท์ใหม่ๆมาออกอากาศเพิ่ม

ส่วนเดอะ เฟซเมน ไทยแลนด์ 2 นอกจากสายสัมพันธ์หรือคอนเน็คชั่นที่มีดี สามารถดึงคอนเทนท์สุดร้อนแรงที่มีพันธมิตรอย่าง “กันตนา เอฟโวลูชั่น เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์มา แล้ววพีพีทีวี รับช่วงต่อซื้อรายการมาผลิตและออกอากาศ นี่ถือเป็นการจับคู่แต่งงานที่เชื่อว่าจะถูกฝาถูกคู่ และพาพันธมิตรให้มีโอกาสเติบโตด้วย

“ในอดีตช่องทีวีมีน้อย เจ้าของคอนเทนท์จะทำรายการป้อนให้เจ้าช่องเดียวตลอด เพราะเกรงใจบ้าง แต่ปัจจุบันช่องทีวีมีมาก เปิดกว้างให้ผู้ผลิตมีโอกาสขยับขยายธุรกิจ หาเวลาออกอากาศในช่วงที่ตัวเองอยากได้ ซึ่งคอนเทนท์ดีที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าอยู่ช่องไหนก็จะประสบความสำเร็จ และการมาของกันตนา เขามองว่าพีพีทีวี คืออนาคตการเติบโตของเขาด้วย”

อนาคตบริษัทยังมองหาคอนเทนท์ละคร มาออกอากาศเพิ่มด้วย เพราะต้องยอมรับว่าเป็นรายการที่ตอบจริตคนดูไทยอย่างมาก และ “สุรินทร์” หมายมั่นปั้นมือให้คอนเทนท์บันเทิง เป็นตัวดึงเม็ดเงินโฆษณาด้วย

ปัจจุบันพีพีทีวี ติดท็อป 10 ของช่องที่มีเรทติ้งสูงสุด แม้รายได้ยังขาดทุน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแข็งของช่อง คือการเดินเกมสร้างแบรนด์ด้วย “กีฬา” ระดับเวิลด์คลาส ไม่ว่าจะเป็นประมูลซื้อการแข่งขันแมทช์เด็ดๆของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ, ฟุตบอลบุนเดสลีกา, ลาลีกาสเปน และอีกมากมาย สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำหรือ Top of mind ว่าช่องดังกล่าวมีจุดขายอย่างไร แต่เมื่อ Content is King การเปลี่ยนมือมีเสมอ ดังนั้น การหาคอนเทนท์ใหม่มารองรับคนดู ยังเป็นการรับกับคอนเทนท์ที่อาจหลุดมือในอนาคตด้วย โดยเฉพาะพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และกีฬาอื่นๆ ที่นับวันราคาแพงระยับ แต่ทุกรายก็หมายปอง เพื่อนำมาเป็นแม่เหล็กตรึงคนดูให้อยู่หมัด

อย่างไรก็ตาม การแก้เกมครั้งนี้ “สุรินทร์” หวังว่าฐานคนดูของช่องจะขยายสู่กลุ่มผู้หญิงมากขึ้น จากปัจจุบันผู้ชายครองจอ 60% และแน่นอน ต้องการเห็นรายได้โตพลิกจากขาดทุนเป็นมีกำไร