ยูเอ็นโอดีซี เผยภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เกิดอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ 6,000 ล้านครั้งต่อปี สร้างผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ 150,000 ล้านบาท ขณะที่องค์กรอาชญากรรมฟันกำไรแสนล้าน หนุนไทยมีกฎหมายคุมเงินสกุลดิจิทัล-คริปโตเคอร์เรนซี่
สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (ทีไอเจ) ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม (United Nations Office on Drugs and Crime:UNODC) จัดสัมมนาเรื่อง” ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจกับการต่อต้านอาชญากรรมในยุคดิจิทัล : อาชญากรรมกับคริปโตเคอเรนซี่“นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผอ.ทีไอเจ กล่าวว่า เมื่อปี 2560 ทีไอเจได้ร่วมกับสถาบันวิจัยอาชญากรรมและความยุติธรรมระหว่างภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ(United Nations Interregional Crime and Justice Research Institute: UNICRI) ทำวิจัยและได้ชี้ให้เห็นถึงรูปแบบและประเภทอาชญากรรมข้ามชาติในลักษณะองค์กรมีแนวโน้มสูงขึ้นในประเทศไทย คือ การปลอมแปลงเอกสารระบุตัวตนและหนังสือเดินทาง การฟอกเงิน การลักลอบขนยาเสพติด การค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิต ซึ่งงานวิจัยได้ระบุข้อท้าทายที่หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาต้องเผชิญ ได้แก่ ข้อจำกัดทางด้านทรัพยากรบุคคล การขาดประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารอย่างรวดเร็วระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขาดความชำนาญภาษาต่างประเทศและความล่าช้าของระบบราชการ ซึ่งปัจจุบันไทยยังต้องการการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นเครื่องมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมประที่มีการใช้เทคโนโลยีทางออนไลน์แสวงหาผลประโยชน์ในการทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี่
นายกิติพงษ์ กล่าวอีกว่า ยูเอ็นโอดีซี ระบุว่า ขณะนี้กลุ่มอาชญากรจำนวนมากหันมาใช้คริปโตเคอร์เรนซี่เป็นช่องทางในการกระทำความผิดต่าง ๆ ทั้ง การฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือเป็นช่องทางในการจ่ายผลประโยชน์สาหรับการเรียกค่าไถ่ และยังถูกใช้เป็นสกุลเงินสำหรับการซื้อสื่อลามกอนาจารเด็ก มัลแวร์ ยาเสพติด อาวุธผิดกฎหมาย รวมไปถึงการค้ามนุษย์ในตลาดดาร์คเน็ต สำหรับไทยแม้จะมีจำนวนคดีอาชญากรรมที่เกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี่ไม่มากนัก แต่มีการคาดการณ์ว่าจะพบเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตอันใกล้นี้
“การยึดเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ในสกุลบิทคอยน์กว่า 100,000 เหรียญบิทคอยน์ จากการจับกุมตัวอาชญากรทางคอมพิวเตอร์รายสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มองค์กรอาชญากรรมออนไลน์ที่เรียกว่า Infraud ซึ่งเป็นตลาดมืดบนอินเทอร์เน็ตสำหรับซื้อขายข้อมูลบัตรเครดิตที่ถูกโจรกรรม อาวุธ ยาเสพติด เอกสารรัฐบาล และสิ่งของผิดกฎหมาย หรือคดีที่เจ้าหน้าที่ไทยและสหรัฐฯ ได้ร่วมกันจับกุมผู้ดำเนินกิจการ Alphabay ตลาดในดาร์คเว็บที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เรายังพบอีกว่ากลุ่มอาชญากรมีการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าซับซ้อนมากขึ้น ทำให้ยากต่อการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ทั้งในทางปฏิบัติและในทางเทคนิคเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีทางการเงิน ดังนั้นองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทุกระดับจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีเหล่านี้ และต้องติดตามให้เท่าทัน หรือเร็วกว่าองค์กรอาชญากรรมให้ได้ เพื่อไม่ให้มีการอาศัยเทคโนโลยีไปประกอบอาชญากรรม”
นายกิติพงษ์. กล่าวต่อว่า. World Economic Forum (WEF) ระบุเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้มากที่สุดในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยมีเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cybercrime) รวมอยู่ด้วย ดังนั้นในการประชุมสหประชาชาติ ที่จะมีขึ้นในปี ค.ศ.2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีการนำหัวข้ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เป็นประเด็นสำคัญในการพูดคุยด้วย
ขณะที่พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ปัจจุบันแม้จะมีคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน แต่ยังมีขีดจำกัดเรื่องความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการดูแลเซิร์ฟเวอร์ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ รวมถึงสร้างเครือข่ายร่วมกัน และเสาะแสวงหาสิ่งที่จะเป็นความเสี่ยง หากเกิดการกระทำผิดทางกฎหมายจะมีมาตรการรองรับอย่างไร
ด้าน Mr.Julien Garsany รองผู้แทนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ยูเอ็นโอดีซี กล่าวว่า เทคโนโลยีมีส่วนในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสร้างผลกระทบที่ดีด้านเศรษฐกิจ และเป็นโอกาสสร้างนวัตกรรมให้แก่โลกและท้องถิ่น แต่ในทางตรงข้ามเทคโนโลยีกลับถูกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาตินำสกุลเงินไปใช้เป็นทุนสนับสนุนการทำงานขององค์กรตนเอง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องป้องกันการนำไปทำกิจกรรมผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาในระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แล้วกว่า 6,000 ล้านครั้งต่อปี และสร้างความผลกระทบทางเศรษฐกิจ 150,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้กลุ่มอาชญากรข้ามชาติมีกำไร 100,000 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายและกระทรวงยุติธรรม จึงต้องขับเคลื่อนการทำงานร่วมกัน และทุกภาคส่วนต้องร่วมกันตระหนักถึงภัยคุกคามของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์และต้องขัดขวางไม่ให้เกิดอาชญากรโดยต้องมีการผลักดันให้ไทยมีกฎหมายที่ควบคุมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลที่รุนแรงเพิ่มขึ้น