ศาลยกฟ้อง! นายทุนฟ้องกรมอุทยานฯ ปมที่ดิน700ล้านบนเกาะกระดาน

ศาลยกฟ้อง! นายทุนฟ้องกรมอุทยานฯ ปมที่ดิน700ล้านบนเกาะกระดาน

ศาลชั้นต้นยกฟ้องนายทุน4คน เป็นโจทย์ยื่นฟ้องกรมอุทยานฯ ปมรบกวนการครอบครองที่ดินไม่ได้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินเต็มพื้นที่ รวม48ไร่ มูลค่ากว่า700ล้าน บนเกาะกระดาน จ.ตรัง เหตุไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินเดิมตามเอกสาร น.ส.3 เตรียมยื่นอุทธรณ์ภายใน30วัน

(30 ส.ค. 61) ที่ศาลจังหวัดตรัง ศาลชั้นต้นได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 202/2560 ที่นายทุนผู้ครอบครองที่ดินบนเกาะกระดาน รวม4คน ประกอบด้วย นายพรชัย โพธิ์ปริสุทธิ์,นายสิทธิมนตร์ สกุลเมธานนท์ และนายชาคริต สกุลเมธานนท์ และนายณัฐนนท์ โพธิเมธานนท์ (ชื่อเดิม นายจักรมนต์สกุลเมธานนท์) เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในข้อหา รบกวนการครอบครอง และขอแสดงสิทธิ์การครอบครองที่ดินเต็มพื้นที่บนเกาะกระดาน หมู่ที่2ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ คือ น.ส.3เนื้อที่รวม48ไร่1งาน60ตารางวา มูลค่ากว่า700ล้านบาท

แต่ภายหลังได้ดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3ก.จากสำนักงานที่ดิน สาขากันตัง เหลือเนื้อที่ 43 – 3 -35 ไร่ ทั้งนี้ นายทุนระบุว่าที่ดินหายไปจำนวน5ไร่เศษดังกล่าว ตนเองจะต้องมีสิทธิเต็มพื้นที่ โดยอ้างว่ามีการทำประโยชน์จริงมาอย่างต่อเนื่องด้วยการปลูกผลอาสิน แต่ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือ และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมเข้าดำเนินการตรวจยึดจับกุม ทำให้ไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินส่วนที่ขาดไปดังกล่าวได้ จึงฟ้องร้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อศาลในข้อหา รบกวนการครอบครอง และขอแสดงสิทธิ์การครอบครองในที่ดินให้เต็มพื้นที่รวม48ไร่เศษดังกล่าว

ซึ่งผลการตัดสินของศาลพิพากษายกฟ้อง โดยระบุว่า ที่ดินที่ระบุในเอกสารสิทธิ น.ส.3ว่ามีจำนวน48ไร่1งาน60ตารางวา แต่ภายหลังได้ดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3ก.จากสำนักงานที่ดิน สาขากันตัง เหลือเนื้อที่ 43 – 3 -35 ไร่ จะทำให้ผู้ฟ้องมีสิทธิครอบครองไม่ได้ เพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าที่ดินเดิมตามเอกสาร น.ส.3จะเป็นจำนวน48ไร่จริง ซึ่งเดิมอาจจะมีเพียงจำนวน43ไร่เศษก็ได้ เพราะในการออกหนังสือรับรอง น.ส.3นั้น ไม่ได้มีการรังรัดแนวเขตที่ชัดเจน แต่เป็นการออกตามเอกสารเดิมคือ สค.1เท่านั้น เช่นเดียวกัน เมื่อมาออกเป็น น.ส.3ก.ซึ่งมีกระบวนการรังวัดแนวเขตที่ชัดเจนพบว่าวัดได้เพียง43ไร่เศษ ก็ย่อมจะชี้ได้ว่า ที่ดินเดิมก็น่าจะมีเพียง43ไร่เศษเท่านั้น ไม่ใช่48ไร่ตามเอกสารสิทธิ น.ส.3ดังกล่าว ทั้งนี้ ในการคำนวณค่าตัวเลขตามหลักคณิตศาสตร์ทั่วไปก็ย่อมมีการคลาดเคลื่อนแตกต่าง ดังนั้น ส่วนที่เหลืออีกประมาณ5 – 6ไร่ นั้น ย่อมจะเป็นของกรมอุทยานฯมาแล้วตั้งแต่มีการประกาศพื้นที่เขตอุทยานฯ ส่วนที่ผู้ฟ้องระบุว่า มีการทำประโยชน์มาอย่างต่อเนื่องนั้น ก็เท่ากับว่าเข้าไปทำประโยชน์บุกรุกในที่ดินของรัฐมายาวนาน จึงพิพากษายกฟ้อง ขณะที่นายทุนก็เตรียมดำเนินการยื่นอุทธรณ์ต่อไปภายใน30วัน

โดยปัญหาที่ดินบนเกาะกระดานเนื้อที่รวมทั้งหมดกว่า400ไร่ มูลค่าหลายพันล้านบาท ขณะนี้มีความสลับซับซ้อน โดยทางกรมอุทยานฯ เดินหน้าทวงคืนที่ดินบนเกาะกระดานทั้งหมด หลังจากเจ้าหน้าที่ชุดพญาเสือได้เข้ามาตรวจยึดและแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 โดยพบว่าการบุกรุกทั้งหมดกว่า 400 ไร่ ที่มีการนำที่ดิน ส.ค.1 เนื้อที่ประมาณ 24 ไร่ ไปออกเป็น น.ส.3 ก.เพิ่มเนื้อที่เป็นประมาณ 44 ไร่ ซึ่งขณะนี้มีการแบ่งให้คนไทย ธุรกิจมือถือ และชาวต่างชาติเช่า ทำรีสอร์ทหรู และในส่วนของที่ดินตามมติ ครม.2541 ที่ให้คนจนทำกินเดิม แต่ปัจจุบันแบ่งขายให้แก่นายทุนเตรียมทำรีสอร์ทหรูบนเกาะเพิ่ม เนื้อที่อีกกว่า 300 ไร่ ซึ่งผลการแปลภาพถ่ายดาวเทียมยืนยันว่า เป็นผืนที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงได้มีการส่งเจ้าหน้าที่มาทำการสำรวจรังวัดแนวเขตและตรวจค่าพิกัดที่ดิน ของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมทั้งเกาะไม่ต่ำกว่า 400 ไร่ซึ่งขณะนี้ทางจังหวัดตรังได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบที่ดินบนเกาะกระดานทั้งหมดขึ้นมาแล้ว1ชุด อยู่ระหว่างเดินหน้าตรวจสอบ ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ได้รับคดีบุกรุกที่ดินบนเกาะกระดานเป็นคดีพิเศษแล้วเช่นกัน จึงเดินหน้าตรวจสอบทวงคืนที่ดินบนเกาะกระดานอย่างเต็มที่