'ประสิทธิ์-ชาคริส' ดอดพบตร.โดนแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกง 'คดีบิทคอยน์'

'ประสิทธิ์-ชาคริส' ดอดพบตร.โดนแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกง 'คดีบิทคอยน์'

“ประสิทธิ์-ชาคริส” ดอดเข้าพบ พงส.กองปราบฯ ตร.แจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงคดีบิทคอยน์ ก่อนปล่อยตัวกลับ ขณะที่ทั้งคู่นั่งเคลียร์ผู้เสียหายชาวฟินแลนด์ ทำบันทึกของจ่ายทรัพย์สินคืน หากเคลียร์จบก็ถอนแจ้งความได้ พรุ่งนี้ “บูม-ธนสิทธิ์” เข้าพบกองปราบฯอีก

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 28 สิงหาคม นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ เจ้าพ่อตลาดหุ้น และนายชาคริส อาห์มัด ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท เอ็กเปย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รองผบก.ป.) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีร่วมกันฉ้อโกง นายเออาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ สัญชาติฟินแลนด์ โดยใช้เวลาในการสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมง โดยระหว่างการสอบปากคำ นายอเอาร์นี และแฟนสาวชาวไทยได้เดินทางมายังกองปราบปรามด้วย

พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวว่า ในวันนี้ นายประสิทธิ์ และ นายชาคริส ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนก่อนนัดหมายล่วงหน้าหนึ่งวัน พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงกับผู้ต้องหาทั้งสองคนก่อนที่จะปล่อยตัวกลับไป ทั้งนี้ นายเออาร์นี่ ผู้เสียหายชาวฟินแลนด์ได้เดินทางมาด้วย โดยได้มีการเจรจากันทั้งสองฝ่ายว่าจะมีการชดใช้ทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดให้แก่กันและได้ทำบันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งจะชดใช้กันเท่าไหร่นั้นเป็นเรื่องของคู่กรณีที่จะตกลงกัน หากผู้เสียหายพอใจในคดีฉ้อโกงนั้นก็สามารถที่จะมาถอนแจ้งความหรือคำร้องทุกข์ได้ คาดว่าจะมีการโอนทรัพย์สินตามที่ตกลงกันภายในเร็ววันนี้

พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ต้องหาที่เหลือคือ นายปริญญา นายจิระพิสิษฐ์ หรือบูม และ นายธนสิทธิ์ สามพี่น้องมีกำหนดเข้าให้ปากคำและรับทราบข้อกล่าวหาในวันพรุ่งนี้ (29 ส.ค.) เวลา 10.00 น. ซึ่งในส่วนของ นายปริญญานั้นยังไม่มีรายงานว่าเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยแต่อย่างใด หากไม่เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนในวันพรุ่งนี้ก็จะเสนอต่อศาลอาญาเพื่ออนุมัติหมายจับโดยไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกครั้งที่สอง ส่วนการสอบปากคำบิดามารดาของพี่น้องตระกูลจารวิจิตนั้นเบื้องต้นพบว่าอาจจะกระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินด้วย เพราะตรวจสอบพบว่ามีการโอนเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาทที่รับโอนมาจาก นายปริญญา บุตรชายภายในวันเดียวไปยังบัญชีต่างๆจะอ้างว่าไม่รู้เห็นไม่ได้เพราะเป็นเงินจำนวนมาก ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมเพื่ออำพรางเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งในส่วนนี้พนักงานสอบสวนกำลังพิจารณาเพื่ออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาฐานร่วมกันฟอกเงินต่อไป

“ส่วนกรณีที่มีการระบุว่ามีนักการเมืองหรือน้องชายของนักการเมืองมาเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินในคดีนี้นั้น เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีใครมาเกี่ยวข้องเพิ่มเติม และบริษัท แอปเปิ้ลเวลท์ ที่นายประสิทธิ์ถือหุ้นอยู่ก็ยังไม่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้แต่อย่างใด ซึ่งนายประสิทธิ์ได้ให้ปากคำไว้หมดแล้ว” พ.ต.อ.ชาคริต กล่าว

ด้าน นายประสิทธิ์ กล่าวภายหลังการเข้าพบต่อพนักงานสอบสวนว่า ตั้งใจมาพบพนักงานสอบสวนกองปราบฯตั้งแต่เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่เนื่องจากรอความพร้อมของ นายเออาร์นี ที่จะมาตกลงพูดคุยทำความเข้าใจกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยระหว่างไกล่เกลี่ยกันเราสามารถตกลงกันได้โดยที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจ เพราะเคยทำงานมาด้วยกัน และเป็นเพื่อนกันมาก่อน และยังถูกนายปริญญา หลอกด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย อีกทั้งวันที่แยกตัวออกจาก บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด(มหาชน) เราก็ออกมาพร้อมกัน แต่ในส่วนของข้อตกลงนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพียงแค่อยากให้ทราบว่าเราสามารถประนีประนอมและยอมความกันได้แล้ว

“อย่าเรียกว่ามารับทราบข้อกล่าวหา แค่มาชี้แจงถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะมาพบตำรวจตลอดเวลา เช่นครั้งที่แล้วยังไม่มีหมายเรียกก็ยังมา” นายประสิทธิ์ กล่าวและระบุถึงการให้การกับพนักงานสอบสวนในวันนี้ว่า จะเรียกว่าปฏิเสธข้อกล่าวหาไม่ได้ เพราะสิ่งที่พูดคือความจริงและเรามีการตกลงกันเรียบร้อยแล้วโดยที่ตนและเออาร์นีก็พึงพอใจในข้อตกลงนั้น ส่วน นายปริญญา ก็มีสิทธิ์ชี้แจงในมุมของเขาก็เป็นเรื่องของ นายปริญญา ส่วนตนคือประสิทธิ์ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูด ตนไม่ได้พยายามจะโยนความผิดให้ใคร เพราะมั่นใจในข้อเท็จจริง แม้จะพูดอีก10 รอบก็จะพูดเหมือนเดิม และถ้าเขาพร้อมจะกลับมาแสดงความบริสุทธิ์ตนก็พร้อมแต่โดยส่วนตัวแล้วไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ นายปริญญาอีก

ส่วน นายชาคริส กล่าวเพียงว่า ตกลงกับ นายเออาร์นี จนได้ข้อสรุปทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

ด้าน นายเออาร์นี กล่าวภายหลังเจรจาพูดคุยกับนายประสิทธิ์และนายชาคริตและมีการเซ็นหนังสือบันทึกข้อตกลงต่อหน้าพนักงานสอบสวนว่า “ผมกับเขาทั้งสองพูดจาตกลงกันได้น่าพอใจมาก แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด”