"ผู้กองมนัส" อดีตนายทหารชื่อดัง ขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน "กองปราบ" คดีบิตคอยน์ ระบุติดภารกิจสำคัญที่ จ.พะเยา ยืนยัน 12 ก.ย.นี้ เจอแน่
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหาที่ร่วมกันหลอกลวง นายอาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ นักลงทุนสัญชาติฟินแลนด์ ให้ลงทุนซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล ดราก้อนคอยน์ (dragon coin) หรือ (DRG) โดยหลอกลวงให้ซื้อหุ้นของบริษัท เอ็กซ์เปย์ ซอฟท์แวร์ จำกัด , NX Chain Inc. และหุ้นของบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ด้วยการโอนเงินสกุลบิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลเช่นเดียวกัน ไปยังบัญชีของผู้ต้องหา รวม 5,564.44650956 เหรียญบิตคอยน์ หรือคิดเป็นเงินไทย 797,408,454.33 บาท แต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่กล่าวอ้าง ว่า ภายหลังนายวิสิทธิ์ จารวิจิต และ นางเลิศฉัตรกมล จารวิจิต บิดาและมารดาของ นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม อายุ 27 ปี ดาราและนายแบบชื่อดัง เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนนั้น จากการสอบปากคำทำให้ได้รับข้อมูลที่มีความชัดเจนมากขึ้น
พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวอีกว่า สำหรับการสอบปากคำทั้งสอง โดยเฉพาะมารดาของนายบูม ได้ยอมรับว่าเปิดบัญชีธนาคารหลายแห่ง และให้นายปริญญา จารวิจิต ลูกชายคนโต เป็นผู้เบิกเงินในบัญชีนั้นๆ ได้ และสามารถใช้โทรศัพท์มือถือของนายปริญญาเอง ทำธุรกรรมทางบัญชีได้ นอกจากนี้ยังยอมรับว่าได้รับโอนเงินจากนายปริญญา เป็นจำนวนร้อยกว่าล้านบาท ซึ่งนายปริญญา ยังสั่งให้มารดาทำธุรกรรมฝากเงินเข้า และถอนเงินออกในแต่ละวันด้วย ยกตัวอย่างใน 1 วัน มีการถอนเงินในบัญชี 67 ล้านบาท ไปเปิดบัญชีธนาคารอีกแห่งหนึ่ง แล้วก็ถอนไป เปิดบัญชีแห่งอื่น ในวันเดียว รวม 4 ธนาคาร โดยมารดาของนายปริญญา ก็สอบถามลูก ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ นายปริญญา ก็ให้คำตอบว่าที่ ต้องทำแบบนี้เพื่อให้บัญชีมีความเคลื่อนไหว เมื่อเดินบัญชีตลอด ก็จะมีเครดิตที่ดีกับธนาคาร
รอง ผบก.ป.กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา นายปริญญา ก็จะโกหกมารดาว่า เงินที่มีจำนวนมากนั้น ได้มาจากการทำธุรกิจ แต่จริงๆแล้วโดยหลัก มารดาก็ควรจะรู้อยู่แล้วว่าเงินมันมากผิดปกติ ส่วนมารดาจะเข้าข่ายร่วมกันกระทำความผิดด้วยหรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม เมื่อมารดา ควรจะรู้อยู่ว่าลูกทำธุรกิจอย่างไร ทำมาหากินอะไร ซึ่งควรจะมีรายได้ประมาณเท่าไหร่ เมื่อมีเงินจำนวนมากมายผิดปกติขนาดนี้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ วิญญูชนย่อมสมควรรู้ว่ามันผิดปกติ
“ส่วนคุณพ่ออายุมากหน่อย ก็ไม่ได้รับทราบ มีเพียงคุณแม่ ที่โอนเงินมาไว้ในบัญชี 55 ล้านบาท แต่จะรับทราบหรือไม่ ก็ได้ใช้เงินนั้น หากจะต้องพิจารณาดำเนินคดีก็เชื่อว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอ โดยจะเข้าข่ายความผิดใดบ้างคงต้องขอเวลาในการรวบรวมพยานหลักฐานอีกสักระยะหนึ่ง” พ.ต.อ.ชาคริต กล่าว
พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวถึงกรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หรือผู้กองมนัส อดีตนายทหาร อีกหนึ่งผู้ที่ถูกออกหมายเรียกให้เข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยนั้น ทาง ร.อ.ธรรมนัส ได้ประสานขอเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนออกไป เป็นวันที่ 12 กันยายนนี้ เวลา 10.00 น.โดยให้เหตุผลว่ามีภารกิจจำเป็นอยู่ที่ จ.พะเยา จึงยังไม่สะดวกที่จะเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนด ซึ่งพนักงานสอบสวนพิจารณาอนุญาต ส่วนความเกี่ยวพันกับคดีนั้น เป็นเพราะได้รับการโอนเงินจากนายปริญญา จำนวน 125 ล้านบาท ไปซื้อหุ้นของบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) โดยระหว่างนั้นได้เกิดปัญหาขึ้น นายปริญญา จึงโอนหุ้นไปให้ ร.อ.ธรรมนัส อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวจะเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน
พ.ต.อ.ชาคริต กล่าวว่า ในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ มีผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายบูม , นายปริญญา , นายธนสิทธิ์ จารวิจิต , นายชาคริส อาหมัด และนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ซึ่งถูกพิจารณาดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ จะต้องเข้ารับทราบข้อหาพร้อมกัน และหากมาเข้าพบพนักงานสอบสวนแล้วจะพิจารณาให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่คงต้องพิจารณากันอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ทราบว่านายปริญญา ยังคงหลบหนีอยู่ต่างประเทศ และไม่ได้ติดต่อว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนหรือไม่ ส่วนนี้ก็จะต้องพิจารณาต่อไปว่าจะออกหมายจับหรือไม่
รอง ผบก.ป.กล่าวอีกว่า สำหรับนายปริญญา ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายสำคัญในคดีนี้จะติดต่อกับคนในครอบครัวอยู่หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ และทางครอบครัวเขาก็ไม่ได้บอกกับเรา แต่จนถึงขณะนี้ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวยังคงมีเพียงเท่านี้ที่พบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงและสามารถพิจารณาดำเนินคดีได้