'สุเทพ' อ้าง ระเบียบยุคอานันท์ หน.ส่วนราชการมีอำนาจจัดซื้อ ไม่ใช่ครม.

'สุเทพ' อ้าง ระเบียบยุคอานันท์ หน.ส่วนราชการมีอำนาจจัดซื้อ ไม่ใช่ครม.

"สุเทพ" อ้างระเบียบยุคอานันท์ แจง "หน.ส่วนราชการ" เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างไม่ใช่ครม. บอกบางกระทรวงทำเรื่องขอครม.ยังต้องส่งกฤษฎีกาตีความ

ที่อาคารทู แปซิฟิคเพลส  นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี  ได้ไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงกรณีสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่ง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)

โดยกล่าวว่าที่ผ่านมาได้นำประเด็นที่ถูกกล่าวหาที่อนุกรรมการไต่สวนของป.ป.ช.กล่าวหามีทั้งหมด 9 ประเด็นโดยได้วันนี้(25ส.ค.)จะชี้แจงในข้อกล่าวหาที่ 4 คณะ อนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช. กล่าวหาว่าเปลี่ยนวิธีการจัดจ้างโดยไม่นำเสนอครม.ให้อนุมัติ ความละเอียดเขียนว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ มีบันทึกข้อความลง วันที่ 17 ก.ย.ถึงนายกรัฐมนตรี ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้างโครงการฯ จากเดิมสร้างแบบรวมการครั้งเดียวแยกเสนอราคาเป็นรายภาค ภาค 1-9 จำนวนหลายสัญญา เป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างครั้งเดียว เป็น สัญญาเดียวโดยไม่ขอให้นายกฯนำเสนอเรื่องดังกล่าวให้ครม.พิจารณาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างก่อสร้าง นี่คือข้อกล่าวหา
           

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า ผมได้บอกกับคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ว่า ที่กล่าวหาว่า มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดจ้างโดยไม่นำเสนอครม.ให้พิจารณาอนุมัติวิธีการจัดจ่างนั้นเพราะว่าครม.ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาวิธีการจัดจ้าง อำนาจในการพิจารณาว่าจะใช้วิธีการจัดจ้างอย่างไรเป็นอำนาจของหัวหน้าหน่วยงาน หรือหัวหน้าส่วนราชการ และที่ผมพูดแบบนี้ผมได้นำหลักฐานไปเสนอต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างมีระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 ออกมา ในสมัยที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี

ในระเบียบนี้ชัดเจนเลยว่าการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหลาย ทุกส่วนราชการจะต้องปฏิบัติตามนี้และบอกไว้เสร็จเลยว่า หัวหน้าส่วนราชการ คือ อธิบดี หรือหัวหน้าส่วน ราชการ ที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นนิติบุคคล ผบ.ตร. มีฐานะเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ตามระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุ และมีข้อกำหนดในระเบียบสำนักนายกฯข้อ 34 ว่า ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแต่ละครั้ง ให้หัวหน้าราชการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติตามระเบียบนี้  เป็นอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการทั้งสิ้น ตั้งคณะกรรมการเปิดซอง ตั้งคณะกรรมการพิจารณาผลประกวดราคา คณะกรรมการต้องรายงานต่อหัวหน้าส่วนราชการ 

เห็นชัดเจนว่าอำนาจในการพิจารณาว่าจะจัดจ้างอย่างไร ที่จะต้องเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ เป็นอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ ไม่ใช่อำนาจของครม.

นายสุเทพ กล่าวต่อว่าหลักฐานที่นำมานั้นฟังดู อาจจะยังไม่พอมีการวินิจฉัยโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 873/2551 คือมีเรื่องว่ามีกระทรวงหนึ่งเสนอไปยังครม.ว่าครม.ช่วยอนุมัติให้เขายกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักฯที่ และคิดว่าคนมีอำนาจคือครม.ก็ทำเรื่องเสนอไปที่ครม. ครม.มีมติให้ส่งไปที่คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา  คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงพิจารณาว่าครม.ไม่มีอำนาจที่จะยกเว้นหรือผ่อนผันการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุ แต่ถ้าครม.ต้องการกำหนดให้เป็นอำนาจของครม.เสียในเรื่องวิธีการจัดจ้างต้องแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยการพัสดุฉบับนี้ปรากฏว่า ไม่มีการแก้ไข

เพราะฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้ แม้วันนี้ต้องปฏิบัติแบบนั้น นี่คือเหตุผลที่ผมได้กราบเรียนว่าเมื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ผบ.ตร.ขณะนั้น ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการที่มีอำนาจกำหนดวิธีการจัดจ้างทำหนังสือลงวันที่ 18 พ.ย.2552ผมก็วินิจฉัยได้สั่งการได้ เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่ได้ทำความผิดอะไร ตามที่อนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช.ตั้งข้อกล่าวหาในข้อนี้