‘คินน์’จับ pain point คว้าแชมป์สตาร์ทอัพสายไบโอเทค

‘คินน์’จับ pain point คว้าแชมป์สตาร์ทอัพสายไบโอเทค

ทันทีที่ค้นพบความมหัศจรรย์ของจุลินทรีย์ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ "คินน์" แบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากถั่งเช่า แบ็คอัพด้วยวิจัยไบโอเทคทำการดึงสารสำคัญจากถั่วเช่าออกมาให้ได้มากสุดแล้วส่งขึ้นเวทีประกวด คว้าแชมป์มาแล้วหลายรายการ

จับปัญหาที่เกิดกับสังคมไทย (pain point) แล้วนำเสนอควบคู่กับแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จะมาตอบโจทย์ได้ชัดเจนและโฟกัสถูกจุด ทำให้ “คินน์” (KINN) สตาร์ทอัพดาวรุ่งสายไบโอเทคชนะเลิศการประกวด Thailand Life Sciences Startup 2018 ได้รับ Seed Funding จำนวน 2 แสนบาทและโอกาสขยายตลาดไปยังต่างประเทศจาก MassChallenge องค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพสู่ตลาดโลกจากสหรัฐอเมริกา


กิจกรรมการประกวดจัดโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ทีเซลส์) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ใช้ปั้นสตาร์ทอัพและยังเป็นหนึ่งในภารกิจของทีเซลส์ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและบุคคลที่มีแนวคิด แผนการพัฒนาและผลงานได้ต่อยอดการพัฒนา พร้อมขยายผลสู่ภาคธุรกิจด้านชีววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์ สอดคล้องกับการขับเคลื่อนประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ (เมดิคัลฮับ) ทั้งยังยกระดับศักยภาพฝีมือคนไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกในอนาคต


ศิริพร อริยพุทธรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท คินน์ เวิลด์ไวด์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากถั่งเช่าและสปอร์เห็ดหลินจือ กล่าวว่า เพนพ้อยต์ของสังคมไทยซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจมาจากสภาพปัญหาที่เกิดจากโครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งมาพร้อมกับปัญหาสุขภาพที่ต้องเข้ารับการรักษา ทำให้เสี่ยงอันตรายจากผลข้างเคียงของยาที่กิน โดยเฉพาะยารักษาความดันโลหิต เบาหวานและไขมันในเลือดสูงที่ต้องกินต่อเนื่องในระยะยาว ขณะที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพ โดยทั่วไปก็ใช้เวลานาน 6-12 เดือนกว่าจะเห็นผล อีกทั้งให้ประสิทธิภาพต่ำเนื่องจากมีส่วนประกอบของสารสำคัญในปริมาณต่ำ ขณะที่คินน์ถูกพัฒนามาเพื่อตอบเพนพ้อยต์เหล่านี้ทั้งในมุมผู้บริโภคและมุมธุรกิจ


"เรากำลังทำวิจัยร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ในการคัดเลือกกลุ่มสายพันธุ์จุลินทรีย์ที่มีความสามารถพิเศษในการดึงสารออกฤทธิ์สำคัญจากถั่งเช่าให้ได้มากที่สุด โดยทางไบโอเทคขอเวลาวิจัยและพัฒนา 3 ปี"


อย่างไรก็ตามเพื่อให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้ จึงต้องทำวิจัยร่วมกับ “ไบโอไต้หวัน” ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยชั้นนำในเอเชีย ทำการศึกษาคู่ขนานในโจทย์เดียวกับศูนย์ไบโอเทคของไทย โดยทางไต้หวันสามารถสกัดดึงสารสำคัญออกมาได้มากถึง 79% และคาดว่าในเร็วๆ นี้จะได้ตัวเลขที่มากขึ้นอีก ขณะที่แบรนด์ทั่วไปมีส่วนประกอบของสารสำคัญจากถั่งเช่าเพียง 20-30% เท่านั้น ทั้งนี้ คินน์เป็นแบรนด์ถอดบทเรียนความสำเร็จมาจาก “คีนน์” (KEEN) โดยวสันต์ อริยพุทธรัตน์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการผู้บริหารบริษัท คีนน์ จำกัด ที่ทำวิจัยร่วมกับศูนย์ไบโอเทคในการใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวบำบัดภัณฑ์สำหรับบำบัดของเสียก่อนคืนสู่ระบบการบำบัดรวม หรือปล่อยสู่ธรรมชาติ ที่ตอบโจทย์และครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้ทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยานยนต์ โรงพยาบาล ร้านอาหาร ที่พักอาศัย


"เข้าปีที่ 4 หลังจากศึกษาเรื่องจุลินทรีย์ย่อยสลายคราบน้ำมัน ก็พบว่าจุลินทรีย์ไม่ได้ตอบโจทย์แค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่สามารถใช้ประโยชน์ในอาหารและเครื่องดื่มได้ด้วย ยกตัวอย่างที่เราคุ้นเคยก็คือ จุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในนมเปรี้ยว เราจึงตั้งโจทย์วิจัยให้เชื่อมโยงกับสมุนไพรถั่งเช่าและเห็ดหลินจือ ซึ่งเป็นที่รู้จักและมีมูลค่าสูงในตลาดโลก"


แบรนด์คินน์ออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 2555 คอนเซปต์มุ่งความเป็นสินค้าพรีเมียมระดับสากล มีช่องทางจำหน่ายทั้งในห้างสรรพสินค้า การตลาดออนไลน์และออนแอร์ พร้อมทั้งร่วมกิจกรรมการประกวดและออกบูธในงานแฟร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างการรับรู้ในแบรนด์ให้แพร่หลายขึ้น เช่น เฮลท์แอนด์บิวตี้ ไทยเฟกซ์ โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 100 ล้านบาท ส่วนการทำตลาดต่างประเทศนั้น มีแผนที่จะเปิดตลาดอาเซียนในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่ตลาดส่งออกไปโซนยุโรปและสหรัฐจะต้องรอผลการวิจัยจากไบโอเทค ซึ่งจะช่วยปูทางสู่อุตสาหกรรมส่งออกได้ง่ายขึ้น พร้อมกันนี้ก็มีบริษัทคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่เป็นเครือข่ายของคีนน์ พร้อมให้การสนับสนุนอยู่แล้ว


“ผู้บริโภคตลาดบนยังมีอีกมากและพร้อมที่จะจ่ายให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ขณะที่สินค้าอาหารเสริมในตลาดกลับมีตัวเลือกไม่มาก ดังนั้น มาร์เก็ตแคปจึงเปิดกว้างสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพแท้จริง” ศิริพร กล่าว