รองผบ.ตร.ยันสอบวินัย 'อดีตผบก.เลย' ชี้ผิดจริงปลด-ไล่ออก

รองผบ.ตร.ยันสอบวินัย 'อดีตผบก.เลย' ชี้ผิดจริงปลด-ไล่ออก

"รอง ผบ.ตร." ยันสอบวินัย "อดีตผบก.เลย" ไม่ปกป้อง ชี้ผิดจริง "ปลด-ไล่ออก" ย้ำคดีหลักฐานแน่น เห็นใจลูกน้อง 192 รายตกเป็นเหยื่อ

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2561 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ แสงคร้าม รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีทุจริตโครงการรวมหนี้และบริหารหนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลย ซึ่งมีนายตำรวจระดับผู้บังคับการและผู้กำกับการในขณะนั้นถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องว่า ล่าสุดได้ลงนามคำสั่งให้พล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช รองผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย และพ.ต.อ.เฉลิม ยอดปทุม ผู้กำกับการอำนวยการ ตำรวจภูธรจังหวัดหนองบัวลำภู ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันก่อเหตุ ให้ออกจากราชการไว้ก่อนตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อความสะดวกในการสืบสวนทางคดีและทางวินัย พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง โดยมี พล.ต.ต.พลศักดิ์ บรรจงศิริ รองจเรตำรวจ หลังกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ดำเนินคดีอาญา และพล.ต.ต.สุทิพย์ได้เข้ารายงานตัวต้องคดีอาญาที่สำนักงานกำลังพลเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

พล.ต.อ.รุ่งโรจน์ กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงมีเวลาในการสอบครั้งแรก 60 วันแต่สามารถขยายเวลาได้ในกรอบระยะเวลาไม่เกิน 270 วัน ทั้งนี้ผลการสอบสวนหากผิดจริงมีมติ ซึ่งโทษจะมีทั้งปลดออก หรือให้ออกจากราชการ แต่ถ้ามติลงความเห็นว่าไม่มีความผิด ผู้ถูกกล่าวสามารถร้องขอกลับเข้ารับราชการได้เหมือนเดิม ส่วนคดีอาญา ทางพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ก็ดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน ไม่มีการปกป้องกันแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมาตนเองก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด แต่ก็รับทราบข่าวว่ามีพยานหลักฐานชัดเจนในการดำเนินคดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงประชาชน

“ทั้งนี้ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ส่วนการเยียวยาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะมีเพียงการดูแลสิทธิตามสมควร ซึ่งผู้เสียหายจะต้องไปฟ้องแพ่งดำเนินคดีกันเอง แต่ก็ยอมรับว่าเห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชา จึงได้สั่งการให้มีการสร้างรายได้และอาชีพที่เหมาะสมกับข้าราชการตำรวจที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้สั่งการให้มีการสืบสวนสอบสวนเอาผิดทั้งทางอาญาและทางวินัยไปตามขั้นตอนของกฎหมาย รวมทั้งสั่งการให้ทุกกองบัญชาการตำรวจทั่วประเทศ ตรวจสอบผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้เกิดกรณีลักษณะนี้ขึ้นอีก” รองผบ.ตร.กล่าว