ลองขับ ปลั๊กอิน ไฮบริด "มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์"
หลังจากฉลองการผลิตรถยนต์ครบ 5 ล้านคัน ในประเทศไทย มิตซูบิชิ ก็ประกาศแผนธุรกิจใหม่ที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ก็คือ การเตรียมยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน รถพลังงานไฟฟ้า (EV) และรถปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ
โอซามุ มาสุโกะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น บอกว่าจะยื่นขอภายในปีนี้ หรือ อาจจะยื่นเร็วกว่านั้นก็ได้ ส่วนการผลิตออกจำหน่ายอาจจะเริ่มในช่วง 2-3 ปี ต่อจากนี้
ล่าสุดในงาน “EV Inspection Tour inEurope for ASEAN Media” ที่โพรวองซ์ ฝรั่่งเศส โทชินากะ คาโตะ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายธุรกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พูดชัดเจนว่า การเริ่มต้นกับรถปลั๊กอิน ไฮบริด ในไทยเป็นสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด เพราะเป็นรถที่ตอบสนองเป้าหมายหลักอย่างการลดการใช้เชื้อเพลิง ลดการปล่อยมลพิษ และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาจุดชาร์จสาธารณะเหมือนกับ อีวี
ดังนั้นกิจกรรมครั้งนี้ มิตซูบิชิ จึงบรรจุการทดสอบ “เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี” รถปลั๊กอิน ไฮบริด คันเก่ง เอาไว้ด้วย เพื่อให้รู้สมรรถนะของเทคโนโลยี พีเอชอีวี ที่จะขึ้นสายการผลิตในบ้านเราในอนาคต
จริงๆ แล้วมิตซูบิชิมีเทคโนโลยีทั้งอีวี และพีเอชอีวี มานานแล้ว โดยอีวีนั้นเริ่มผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 2552 และทำตลาดใน 53 ประเทศ และปี 2556 ก็เปิดจำหน่าย พีเอชอีวี เป็นครั้งแรก ทำตลาด 56 ประเทศ นั่นก็คือ เอาท์แลนเดอร์นี่เอง และถัดมาในปี 2558 เปิดตัว เอาท์แลนเดอร์ใหม่ และล่าสุดคือ การไมเนอร์เชนจ์ เป็นโฉมปี 2019 คันที่ผมกำลังจะขับในย่าน Gordes อยู่แถบเทือกเขา Luberon ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จักดี
ระยะทางไม่มากนัก ประมาณ 45 กม. แต่ก็พอจะจับอารมณ์ จับความรู้สึกได้บ้าง
แต่เบื้องต้น มิตซูบิชิ บอกว่า คงไม่ทำตลาดรุ่นนี้ในบ้านเรา เพราะจะใกล้เคียงกับปาเจโร่ สปอร์ต แต่การขับคันนี้ก็เเพื่อให้รู้ถึงระบบ ปลั๊กอิน ไฮบริดที่มิตซูบิชิมี
เครื่องยนต์เบนซิน 2,360 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 135 แรงม้าที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 211 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที และมีมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 2 ตัว ด้านหน้า 82 แรงม้า 195 นิวตันเมตร มอเตอร์ตัวหลัง 95 แรงม้า 195 นิวตันเมตร ส่วนแบตเตอรีเป็นแบบ ลิเธียมไอออน 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง
จุดเด่นของมัน นอกเหนือจากการเลือกใช้โหมด อีวี อย่างเดียว โหมดชาร์จแบตเตอรี และโหมดเก็บแบตเตอรี (save) เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ในจุดที่ต้องการเช่น แหล่งชุมชน หรือพื้นที่รถติด เป็นต้น โดยระบบจะสั่งการให้เครื่องยนต์ทำงานเป็นหลัก ไม่แตะต้องพลังงานจากแบตเตอรี เมื่อเริ่มกดปุ่มอยู่เท่าไรก็เท่านั้น เช่น แบตเตอรีเหลือ 88% มันก็จะค้างอยู่ 88% เช่นเดิม
ระบบไฮบริดเลือกโหมดการทำงานอัตโนมัติ ตามแต่สภาพการขับขี่ และเส้นทาง ไม่วาจะเป็นเครื่องยนต์ทำงานอย่างเดียว แบตเตอรี ทำงานอย่างเดียว หรือทำงานพร้อมกัน ทั้งมอเตอร์และเครื่องยนต์ช่วยกันขับเคลื่อนล้อ หรือ พาราเรล ไฮบริด และเครื่องยนต์ทำงานแต่ไม่ส่งกำลังไปที่ล้อ ส่งไปที่แบตเตอรีเท่านั้นเพื่อเติมกำลังให้กับมอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อนล้อเท่านั้น เรียกว่าเป็นซีรีส์ ไฮบริด
ซีรีส์ ไฮบริด จะทำงานเช่นช่วงการปีนไต่ ซึ่งอาศัยจุดเด่นของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีแรงบิดที่ดี และเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องขับเคลื่อนล้อ แต่ทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟ ก็ไม่ต้องทำงานหนัก ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น ส่วนพาราเรล ไฮบริดก็จะใช้ในการขับขี่ทั่วไป การขับขี่ที่ความเร็วสูง เป็นต้น
เอาท์แลนเดอร์ มีเกียร์ B เสริมเข้ามาจาก R D และ N เหมือนดังที่รถอีวี หรือ ไฮบริดมี แต่สามารถเลือกได้ 5 ระดัับ หรือ B1-B5 ด้วยแพดเดิล ชิฟท์ ที่พวงมาลัย ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่มากขึ้น เช่น เมื่อลงเนินชัน ก็ไล่ไป ชันน้อยก็ B1 ชันมากก็ B5 ซึ่งจะเพิ่มแรงหน่วงด้วยมอเตอร์ คล้ายกับเอนจิ้น เบรก ในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ทั่วไป พร้อมกับชาร์จไฟไปในตัว ซึ่ง B5 จะชาร์จได้เร็วที่สุด
แต่หากเป็นการขับขี่ทั่วไป จะใช้เกียร์ B ก็ได้เช่นกัน ทำให้ชาร์จไฟได้เร็วขึ้นกว่า D โดยที่การขับทั่วไป B กับ D ไม่ต่างกัน แต่เมื่อยกเท้าออกจากคันเร่ง แรงหน่วง B จะมากกว่าและชาร์จไฟได้มากกว่าเช่นกัน
ส่วนโหมดขับขี่ก็มีให้เลือกแบบสปอร์ต เพิ่มความดุดัน และการล็อคโหมด 4WD
มีลูกเล่นในการขับขี่เยอะ เสียดายที่ว่ามีเวลาขับน้อยเกินไป แต่เรื่องอื่นๆ เช่น อัตราเร่ง การทรงตัว การยึดเกาะถนนในทางตรง ทางโค้ง ทำได้ดี ขับสนุกได้ในระดับหนึ่ง เน้นความสบายในการนั่ง การขับ และการโดยสาร ด้วยที่ช่วงล่างที่นุ่มๆ นั่งสบายดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี โดยช่วงล่างหน้า เป็นแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลัง มัลติลิงค์ ดิสค์เบรก 4 ล้อ ล้อและยางขนาด 225/55 R19
แบตเตอรี ของเอาแลนเดอร์ พีเอชอีวี หากชาร์จแบบธรรมดา ด้วยไฟ เอซี 230 โวลต์ 16 แอมป์ จะใช้เวลา 4 ชม. แต่ถ้าชาร์จแบบเร็ว หรือ ควิกชาร์จ ด้วยไฟดีซี ได้ 80% ใช้เวลา 25 นาที
การขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าอย่างเดียว เครื่องยนต์ไม่เกี่ยว ได้ระยะทางสูงสุด 45 กม. ขึ้นอยู่กับความเร็ว สภาพเส้นทาง และสภาพจราจร และไฟฟ้าอย่างเดียวทำความเร็วสูงสุดได้ 135 กม./ชม. ซึ่งถือว่าสูงมากทีเดียว ส่วนความเร็วสูงสุดของระบบไฮบริดอยู่ที่ 170 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 10.5 วินาที ซึ่งก็อาจจะดูไม่เร็วนัก แต่หากเทียบกับการเป็นเอสยูวีขนาดค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักพอตัว ก็ถือว่าน่าพอใจ และในการขี่จริง ก็ไม่ค่อยมีใครใช้อัตราเร่งช่วงนี้มากนัก แต่จะใช้การเร่งแซงเป็นหลัก ซึ่งก็อยู่ในเวลาที่ดี เช่น จาก 40 กม./ชม.ไป 60 กม./ชม.ใช้เวลา 2.5 วินาที หรือ จาก 80ไป 100 ก็ใช้เวลา 3.7 วินาที
ส่วนอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 46 กรัม/กม.
เอาแลนเดอร์ มีขนาดตัวถังยาว 4,695 มม. กว้าง 1,800 มม.สูง 1,710 มม. หากจะเทียบกับรถเอสยูวีในบ้านเรา ก็ยาวกว่ามาสด้าซีเอ็กซ์-5 อยู่ 145 มม. แต่แคบกว่า 40 มม. และหากเทียบกับ พีพีวีค่ายเดียวกันอย่างปาเจโร สปอร์ต เอาท์แลนเดอร์สั้นกว่า 90 มม. แคบกว่า 15 มม. ถือว่ามีขนาดที่กำลังน่าใช้งาน ได้ทั้งใช้ส่วนตัว หรือว่าใช้สำหรับครอบครัว ใช้เดินทางในชีวิตประจำวันหรือท่องเที่ยว และไลฟ์สไตล์ ส่วนน้ำหนักรถอยู่ระหว่าง 1,880-1,900 กก. สามารถฉุดลากได้ 1,500 กก.
ความกว้างขวางของห้องโดยสารทำให้นั่งได้สบายทั้ง 5 ตำแหน่ง โปร่่งโล่ง ผู้โดยสารตอนหลังมีพื้นที่วางเท้าเหลือเพียบ ต้องใช้คำนี้ แม้ว่าคนนั่งด้านหน้าจะถอยหลังมาพอควรก็ตาม ส่วนตำแหน่งผู้ขับขี่ ทัศนวิสัยรอบคันดี รวมถึงด้านหลัง ที่กระจกค่อนข้างใหญ่
ส่วนภายในรถมีลูกเล่นหลายอย่าง รวมถึงระบบกล้อง 360 องศา จอแสดงข้อมูลทั้งมอนิเตอร์ตรงกลาง และบริเวณมาตรวัดหลังพวงมาลัย แจ้งสถานะการทำงานของระบบ แจ้งระดับแบตเตอรี เป็นต้น
เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี เป็นเอสยูวีของครอบครัวที่เดินทางสบายตัว และสบายกระเป๋า หากสามารถขับขี่ได้เท่าหรือใกล้เคียงสเปครถที่ระบุจากโรงงานว่า อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 50 กม./ลิตร ครับ