รู้จัก 'ธรรมนัส พรหมเผ่า' เอี่ยวคดีดัง 'บิทคอยน์ 797 ล้าน'

รู้จัก 'ธรรมนัส พรหมเผ่า' เอี่ยวคดีดัง 'บิทคอยน์ 797 ล้าน'

รู้จัก “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานมูลนิธิธรรมนัสพรหมเผ่าเพื่อการกุศล เอี่ยวคดีดัง "บิทคอยน์ 797 ล้าน"

เมื่อวันที่ 17 ส.ค.61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊ก "ธรรมนัส พรหมเผ่า" ได้แนะนำตัวเองไว้ความว่า “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานมูลนิธิธรรมนัสพรหมเผ่าเพื่อการกุศล

“การเมืองใหม่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อประเทศชาติ-ประชาชน”

ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงปัจจุบัน ประหนึ่งว่าการเมืองไทย จะเงียบเหงา ไม่ครึกครื้น เพราะการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง อีกทั้งเกิดขึ้นน้อยครั้ง แทบไม่ได้ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่น่าประทับใจเท่าที่ควร แต่ ณ เวลานี้เมื่อกระแสของการเลือกตั้ง ได้มีการกล่าวถึง และถามหากันทุกวันเวลา ทุกกลุ่ม ทุกวงสนทนา โดยเฉพาะคอการเมืองที่ต่างวิเคราะห์ถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในต้นปี 2562 นี้

แน่นอนว่าเมื่อการเมืองเริ่มมีการขยับฟันเฟืองจากส่วนกลาง ย่อมส่งผลกระทบถึงระบบฟันเฟืองรอบๆ ทั่วประเทศ บุคคลที่เป็นคีย์แมนทางการเมือง พรรคการเมือง มีการขยับและขับเคลื่อนไปตามๆ กัน

จะกล่าวถึงคีย์แมนทางการเมือง หรือบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญทางการเมืองในขณะนี้ ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า “ร.อ.ดร.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานมูลนิธิธรรมนัสพรหมเผ่าเพื่อการกุศล สายเลือดน้ำกว๊าน แห่งเมืองพ่อขุนงำเมือง เป็นที่จับตาของทุกกลุ่มอย่างไม่อาจละสายตา

จากสายสัมพันธ์ทางการเมืองกับนักการเมืองทุกพรรคการเมือง ผู้ใหญ่ ผู้มากบารมีในแวดวงการเมือง แวดวงธุรกิจ รวมทั้งผู้ใหญ่ใจดีในกระทรวง กรม กองต่างๆ ล้วนไม่มีใครไม่รู้จัก “ผู้กองนัส” ดังนั้นสปอตไลท์ในสนามการเมือง ถนนทุกสายมุ่งมาที่ท่านผู้กองทุกฝีก้าว

วันพักผ่อนสบายๆ ของ “ผู้กองนัส” ที่บ้านพักริมกว๊าน จังหวัดพะเยา ท่านผู้กองได้กล่าวถึงมุมมองของการเมืองในหลายประเด็นอย่างน่าสนใจ เช่น ทัศนะด้านการเมืองที่เป็นการเมืองใหม่ในปัจจุบัน การเมืองระดับท้องถิ่น การเมืองระดับชาติ การฟอร์มตัวของการเมืองยุคใหม่ที่จะต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทั้งชาติ

“ผู้กองนัส” ได้มองย้อนการเมืองในอดีตที่มีการปฏิวัติในปี 2549 ถึงการเมืองในปัจจุบัน ว่า “การเมืองของบ้านเราในช่วงระยะเวลาสิบปี ตั้งแต่ปฏิวัติครั้งปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ปี 2561 ร่วม 12 ปี การเมืองบ้านเราอยู่กับความแตกแยก คนไทยแบ่งกันเป็นก๊ก เป็นเหล่า เล่นกีฬาสีกัน ไม่ว่าจะกลุ่มสีแดง สีเหลือง หรือสีอะไรก็ตาม ซึ่งทำให้ประเทศชาติหรือบ้านเมืองเราถอยหลังในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง

เสาหลักของบ้านเมืองเรา ซึ่งประกอบไปด้วย 3 สถาบัน คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ค้ำจุนและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนไทยทุกคน ถูกทำให้ต้องมัวหมองด้วยคนไทยด้วยกัน

เรากำลังเจาะเวลาย้อนไปหาอดีตสมัยที่เราเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งนั้นเหตุผลหนึ่งเกิดจากคนไทยขาดความรัก ความสามัคคี ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้คนไทยเราต้องจับอาวุธมาห้ำหั่นกันเองมาจากเรื่องของการเมืองทั้งนั้น การเมืองโดยผู้นำการเมือง คงไม่ต้องระบุว่าเป็นพรรคไหน สีไหน ซึ่งสังคมก็รู้อยู่แล้วว่า กลุ่มบุคคลเหล่านี้ทำให้บ้านเมืองเกิดความแตกแยก ขาดความรัก ความสมานสามัคคีกัน จนทำให้เราต้องใช้พื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครเป็นสมรภูมิรบกัน ห้ำหั่นกัน คนไทยหลายชีวิตต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่น มีคนไทยที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเอาชีวิตไปจบไว้ที่นั่น หรือแม้กระทั่งมีนักต่อสู้ประชาธิปไตยหลายๆ ท่านต้องไปจบชีวิตที่นั่น และอีกหลายท่านไปจบชีวิตในห้องขัง

ซึ่งผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองเราจะต้องเดินหน้า เราเลิกทะเลาะกัน การเมืองไม่ควรจะมีสีต่างๆ ธงชาติไทยมีสามสีที่สง่างาม เสาหลักเราทั้งสามสถาบันคือเสาหลักที่ค้ำบ้านค้ำเมืองให้เดินต่อไปได้”

“ธรรมนัส” ย้ำว่าการเมืองศตวรรษใหม่ต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง “การเมืองในศตวรรษใหม่ในทัศนคติของผม เป็นสิ่งที่ควรก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าได้ หลีกเลี่ยงจากการปะทะ หลีกเลี่ยงจากความแตกแยก เราแตกแยกกันแล้ว เกิดอะไรขึ้น ได้อะไรหรือไม่ ไม่มีเลยครับ พี่น้องประชาชนยังทุกข์ยาก ลำบาก เหมือนเดิม นักธุรกิจระดับ SME ล้มหายจากวงการธุรกิจกันหมด มีพี่น้องหลายคนที่อพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง จากจังหวัดของตัวเอง ไปทำมาหากิน ทำธุรกิจ ที่กรุงเทพมหานคร ในระดับ SME ก็ดี หรือระดับกลาง ระดับใหญ่ เสียหายกันหมด ต้องกลับมาทำอาชีพเดิมที่บ้าน คือ เกษตรกร ซึ่งผมไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้น”

“ผู้กองนัส” จึงมุ่งหน้าทำการเมืองใหม่ โดยการรวมกลุ่มของพลังเล็กๆ ในแต่ละจังหวัด ด้วยกลุ่มคนในพื้นที่นั้นๆ

“การทำการเมืองใหม่ด้วยกลุ่มพลังเล็กๆ ในพื้นที่ แล้วเชื่อมโยงรวมตัวเป็นพลังใหญ่ในภายหลัง เป็นแนวคิดและการทำการเมืองของผมในขณะนี้ ซึ่งผมมีความตั้งใจว่า ผมจะทำที่บ้านเกิด(พะเยา) ของผมก่อน บ้านเกิดของผม ซึ่งผมมองว่านักการเมืองรุ่นเก่าๆ ควรจะเลิกได้แล้ว หมายถึงการพักผ่อน แล้วเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาทำงานการเมือง นักการเมืองรุ่นเก่าๆ ที่ผ่านมา ไม่ได้ประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเท่าที่ควร ซึ่งผมไม่ได้หมายถึงคนใดคนหนึ่ง แต่ว่าควรให้นักการเมืองคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดจะสร้างบ้านแปงเมือง นำความเจริญมาสู่จังหวัดพะเยา ให้เขาได้มีบทบาท มีโอกาส ด้วยการเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนเข้าไปมีบทบาทในสภาใหญ่

ส่วนการเมืองระดับท้องถิ่นก็เหมือนกัน ควรจะนำหรือให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ซึ่งคนรุ่นใหม่ไมได้หมายความว่าจะมีอายุน้อย คนรุ่นใหม่หมายถึงคนที่มีความตั้งใจ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ไปปกครองบ้านปกครองเมือง ดังนั้นการเมืองในศตวรรษใหม่ในทัศนคติของผม เราต้องเปลี่ยน ก้าวข้ามความแตกแยก นำความสุขความเจริญมาให้พี่น้องอย่างยั่งยืน”

แต่ละจังหวัดมีกลุ่มพลังของตัวเอง เป็นกลุ่มพลังที่ขับเคลื่อนการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ

“สำหรับการเมืองระดับชาติก็เช่นเดียวกัน ผมพยายามที่จะติดต่อกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่รักบ้านรักเมืองจริงๆ ในหลายๆ จังหวัดทางภาคเหนือว่า เราน่าจะรวมกลุ่มกัน สร้างในกลุ่มที่รักบ้านเกิดของตัวเอง สร้างอุดมการณ์ของตัวเอง ผมยกตัวอย่าง อย่างจังหวัดลำปางเขาก็จะมีกลุ่มพลังลำปาง กลุ่มแพร่ก็มีกลุ่มพลังแพร่ กลุ่มน่านก็มีกลุ่มพลังน่าน จังหวัดที่บ้านเกิดผมก็เช่นเดียวกัน เราเดินในกลุ่ม “พลังพะเยา” นั่นหมายความว่า เรารู้จักสำนึกรักบ้านเกิดของตัวเอง เรามีความพร้อมที่จะเสียสละเพื่อบ้านเพื่อเมือง นำคนที่มีจิตอาสาจริงๆ ที่จะมาพัฒนาบ้านเมืองของเรา คนที่มีความพร้อมทางด้านความรู้ ฐานะการเงิน มาจับมือกันสร้างบ้านแปงเมืองอย่างที่ผมตั้งใจไว้”

“ธรรมนัส” ทิ้งท้ายถึงการเมืองไทยที่ต้องรักและสามัคคีกัน เฉกเช่นปรากฏการณ์การช่วยเหลือ 13 หมูป่า “จากปรากฏการณ์ช่วยเหลือ 13 หมูป่า ทำให้เห็นว่าคนไทยมีใจรักและเป็นห่วงกัน การเมืองควรเป็นเช่นการรวมใจช่วยเหลือ 13 หมูป่า คนไทยยามบ้านเมืองมีภัย มีสงคราม เราจะสามัคคีกัน แต่พอบ้านเมืองสงบเราก็รบกันเอง ตัวเองที่เราเห็นได้ชัด คือ กลุ่มที่คนไทยทั้งประเทศต่างก็รวมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่ช่วยเหลือน้องๆ หมูป่าอะคาเดมี ทั้ง 13 ชีวิต นั่นหมายความว่ายามบ้านเมืองวิกฤติคนไทยจะสามัคคีกัน ผมเชื่อว่า ณ เวลานี้บ้านเมืองเรามีวิกฤติทางการเมือง เราควรจะสามัคคีกัน”

แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นการเมืองยุคใหม่ กลุ่มใด สิ่งเดียวที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือ “ความรัก สมัคร สมาน สามัคคี โดยยึดผลประโยชน์ของชาติ ประชาชน” เป็นที่ตั้ง โดยการยึดโยงและค้ำจุนของ 3 สถาบันหลัก “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”