กว่าจะมาเป็น"ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น"กำปั้นขวัญใจชาวไทย

กว่าจะมาเป็น"ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น"กำปั้นขวัญใจชาวไทย

กว่าจะได้เป็นนักมวยอาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งก่อนจะก้าวสู่ความยิ่งใหญ่นั้น เต็มไปด้วยอุปสรรคและความท้าทายมากมาย ที่บางครั้งก็หนักหนาจนเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ได้

สำหรับชีวิตของ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น แชมป์สภามวยโลก (WBC) รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต ก็เช่นกัน แชมป์โลกขวัญใจคนไทย เกิดและเติบโตที่จังหวัดศรีสะเกษ ประเทศไทย ซึ่งมันไม่ได้สวยงามเหมือนรูปในโปสการ์ดเสมอไป เบื้องหลังของโครงสร้างพื้นฐานชุมชนและธรรมชาติที่สวยงามของจังหวัดในชนบทนั้นเต็มไปด้วยความยากจนและการดิ้นรนเพื่อปากท้อง ชื่อจริงของ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น คือ วิศักดิ์ศิลป์ วังเอก เขาจากบ้านเกิดมาตั้งแต่อายุแค่ 13 ปี เดินทางมาหางานทำในเมืองหลวง อย่าง กรุงเทพมหานคร ก่อนเริ่มต้นงานแรกด้วยการเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย แต่เงินที่ได้รับนั้นน้อยนิด ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ทำให้เขาต้องอาศัยเก็บอาหารตามถังขยะใกล้ๆห้างสรรพสินค้าที่เขาทำงานอยู่ "ในวันที่ยากลำบาก ผมต้องเก็บอาหารในถังขยะเพื่อมาทำอาหารและกินเพื่อประทังชีวิต เพราะผมมีเงินไม่พอ" ศรีสะเกษเล่า เพื่อหารายได้เพิ่มให้กับครอบครัว ศรีสะเกษมีอาชีพเสริมจากการแข่งขันชกมวยไทย ซึ่งถือเป็นกีฬาต่อสู้ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงของประเทศ "ผมเป็นคนหนุ่มที่ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะทำงานในออฟฟิศ การยึดอาชีพนักมวยจึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ผมได้เงิน ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมชอบด้วย มันสนุกและท้าทาย ผมมองว่ามันเป็นทางเดียวที่จะช่วยให้ผมมีชีวิตที่ดีและมีอนาคตได้" ศรีสะเกษกล่าว ศรีสะเกษได้พบว่ารายได้จากอาชีพนักมวย ทำให้เขาหลุดพ้นจากความยากจน อย่างไรก็ตาม เส้นทางการเป็นนักมวยของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อแพ้น็อกคู่แข่งในสองไฟต์แรกเมื่อปี 2009 "ผมต้องการเงินอย่างมาก ผมเลยขึ้นชกทั้งๆที่ไม่มีเวลาเตรียมตัว และไม่รู้จักวิธีการชกจริงๆด้วยซ้ำ ผมรู้แค่ว่าการชกมวย ไม่น่าต่างอะไรกับมวยไทยเท่าไร ก็แค่นั้น" เขากล่าว "ตอนนั้นมันมีแค่สองทางให้ผมเลือก" ศรีสะเกษกล่าวต่อ "หนึ่งคือเป็นนักมวย และอีกทางคือกลับไปทำงานเป็นคนเก็บขยะเหมือนเดิม ผมเลือกที่จะเป็นนักมวยเพราะดูมีความหวังในอาชีพนี้" ศรีสะเกษ ยังไม่เคยชนะใครเลย จนกระทั่งไฟต์ที่สี่ในอาชีพเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 ด้วยการชนะน็อกเพื่อนร่วมชาติอย่าง ประกายเพชร อุ่นสุวรรณ ในยกที่ 3 หลังจากที่พ่ายแพ้ให้แก่นักชกญี่ปุ่นอย่าง เคนจิ โอบะ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2010 ศรีสะเกษก็ได้เข้าร่วมสังกัดนครหลวงโปรโมชั่น (NKL) ซึ่งเป็นค่ายที่สร้างแชมป์โลกมาแล้วหลายคนให้กับประเทศไทย ก่อนทำสถิติชนะรวด 26 ไฟต์ ซึ่งรวมไปถึงการเอาชนะ โยตะ ซาโตะ ได้ในยกที่ 8 ทำให้เขาเป็นแชมป์สภามวยโลก (WBC) เมื่อเดือนพฤษภาคม 2013 ทันที ถึงแม้ว่าจะเสียเข็มขัดให้กับ คาร์ลอส คูเอดราส นักชกชาวเม็กซิโก ในเดือนพฤษภาคม 2014 แต่ศรีสะเกษก็ยังทำสถิติยอดเยี่ยมด้วยการชนะคู่แข่งได้ถึง 19 ครั้ง โดยเป็นการชนะน็อกถึง 16 ครั้ง แล้วประวัติศาสตร์บทใหม่ก็เริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อศรีสะเกษกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะคะแนน โรมัน กอนซาเลซ ชาวนิคารากัว อย่างเป็นเอกฉันท์ ในเดือนมีนาคม 2017 โดยไฟต์นี้ทำให้เขาได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารมวยชื่อดังอย่าง The Ring ให้อยู่ในอันดับ 7 ของกำปั้นที่ดีที่สุดเมื่อเทียบปอนด์ต่อปอนด์ "ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้ จนถึงขั้นได้เป็นแชมป์โลก ผมเพียงอยากเป็นแชมป์ในระดับภูมิภาคหรือแค่ได้ออกโทรทัศน์เท่านั้น ผมผ่านอะไรมามากมายจริงๆ" ศรีสะเกษเผย   หลังจากที่ประสบความสำเร็จด้วยการป้องกันแชมป์ได้สองครั้ง และจบไฟต์อย่างรวดเร็วในศึกอุ่นเครื่องกับ ยอง กิล เบ นักชกเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศรีสะเกษก็มีกำหนดเปิดตัวครั้งแรกบนเวที One Championship องค์กรที่รวมศิลปะการป้องกันตัวชื่อดังของเอเชีย ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2011 โดยเมื่อเร็วๆนี้ One Championship เพิ่งประกาศความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับค่ายนครหลวงโปรโมชั่น เพื่อจัดไฟต์ป้องกันตำแหน่งครั้งต่อไปของศรีสะเกษ "ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนนึงของประวัติศาสตร์ ONE Championship ผมจะขึ้นสังเวียนที่จะจัดขึ้นที่กรุงเทพในปีนี้ด้วย งานนี้มีโปรดัก ชั่นระดับโลก ความบันเทิง และการต่อสู้ที่น่าทึ่งมากๆ ผมอยากจะขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้งานนี้เกิดขึ้น" เขากล่าว ศรีสะเกษจะขึ้นป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกในศึก ONE: KINGDOM OF HEROES ที่จะจัดขึ้น ณ อิมแพค อารีน่า กรุงเทพ ประเทศไทย ในวันที่ 6 ตุลาคมนี้ ในช่วงเวลาที่ตกต่ำยากลำบากที่สุดในชีวิต ทำให้เขาต้องเก็บอาหารจากกองขยะ ก่อนก้าวมาสู่จุดสูงสุดของการเป็นนักมวย ซึ่งศรีสะเกษรู้สึกว่าเขาเป็นหนี้กีฬาชนิดนี้ เพราะเหมือนทำให้เขาได้เกิดใหม่อีกครั้ง "การชกมวยทำให้ผมมีทุกอย่างในชีวิต ผมติดหนี้กีฬานี้ ทุกๆความสำเร็จจากการชกมวย มันทำให้ผมมีระเบียบวินัยมากขึ้น และสอนให้ผมรู้จักคุณค่าจากการทำงานหนัก" เขาอธิบาย เหมือนที่เขาได้เปิดบทใหม่ของชีวิตด้วยการเป็นนักมวยอาชีพ ศรีสะเกษหวังว่าเขาจะสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่คนอื่นๆได้จากความอุตสาหะ เพื่อให้คนอื่นยึดเป็นแนวทางในการก้าวไปสู่ความฝันที่ตั้งใจ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม "ผมรู้ว่ามันยากแค่ไหน แต่ผมไม่อยากให้ทุกคนหมดกำลังใจ เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงและทำตามความฝันได้" ศรีสะเกษทิ้งท้าย